ThaiBMA ปี 68 คาดหุ้นกู้ไทยโต 9 แสนล้านบาท 10 หุ้นใหญ่ไทยถูกถอดจากเรทติ้ง ระดับลงทุน (Investment grade)
นางสาวอริยา ตีรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในปี 2567 ที่ผ่านมาว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของผู้ออกตราสารหนี้ครั้งสำคัญ โดยพบว่ามีบริษัทจำนวนมากถึง 46 แห่งถูกปรับลดระดับเครดิต (Downgrade) โดยกลุ่มบริษัทที่ออกหุ้นกู้สูงสุดคือ กลุ่มธุรกิจการเงิน (Fin), อสังหาฯ (Prop), และพลังงาน (Ener)
อย่างไรก็ตาม มีบริษัทขนาดใหญ่ถึง 10 แห่ง ที่เคยมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ขณะเดียวกัน มีอีก 13 บริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือขึ้น
ประเด็นหุ้นกู้ผิดนัดชำระในปี 2567 มูลค่ารวม 3,172 ล้านบาท จากผู้ออก 5 ราย เป็นมูลค่าที่ลดลงจากปี 2566 ที่มีมูลค่ารวมที่ 16,363 ล้านบาท ในขณะที่หุ้นที่เลื่อนกำหนดชำระในปี 2567 มีมูลค่ารวม 37,963 ล้านบาท จากผู้ออก 17 ราย
โดยมองว่าในปี 2568 มีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดราว 893,275 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 85% กลุ่มหุ้นระดับลงทุน (Investment grade) และ 15% กลุ่มผลตอบแทนสูง (High Yield) ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจับตา เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบางบริษัทมีปัญหาทางการเงินนั่นเอง
นอกจากนี้ยังฝากจับตาดูผลกระทบจากการปรับเกณฑ์การลงทุนของทางสหกรณ์ คาดว่าจะส่งผลให้ยอดการลงทุนในหุ้นกู้จะลดลง เนื่องจากการลงทุนของนักลงทุนในสหกรณ์มีมูลค่าราว 10% ของยอดทั้งหมดนั่นเอง
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยถึง มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567 เท่ากับ 17.1 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ การคาดการณ์ออกหุ้นกู้ในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 8 - 9 แสนล้านบาท
จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเป็นสำคัญ ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่า 913,141 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อนหน้า โดยหุ้นกู้กลุ่ม High yield มีอัตราการออกลดลงมากกว่ากลุ่ม Investment grade สะท้อนถึงความกังวลและการระมัดระวังการลงทุนของผู้ลงทุนในปีที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุด 3 อันดับแรก คือกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน ตามลำดับ
สำหรับการออก ESG bond ในปี 2567 เท่ากับ 179,192 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB) เป็นรุ่นแรก มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และเป็นรุ่นแรกที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศในเอเชีย นอกจากนั้น ในปีนี้มีผู้ออก ESG bond รายใหม่จากรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนรวม 6 ราย ปัจจุบันจึงมีผู้ออก ESG bond รวม 35 ราย มูลค่าคงค้าง ESG bond เท่ากับ 815,402 ล้านบาท คิดเป็น 4.7% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yield curve) ในปี 2567
มีลักษณะ Bullish Flattening ที่เส้น Bond yield ปรับตัวแบนราบมากขึ้นจากการที่ Bond yield รุ่นอายุ 1 ปีขึ้นไปปรับตัวลงราว 32-40 bps. มากกว่า Bond yield รุ่นอายุต่ำกว่า 1 ปี โดย ณ สิ้นปี 2567 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 2.02% 2.10% และ 2.30% ตามลำดับ
เส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) ในปี 2567
ของหุ้นกู้อันดับเครดิต AAA ถึง A ปรับตัวลงในช่วง 29-33 bps. ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่หุ้นกู้อันดับเครดิต BBB+ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 bps. จากการระมัดระวังการลงทุนของผู้ลงทุน โดย ณ สิ้นปี 2567 อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนรุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA AA A และ BBB+ เท่ากับ 2.81% 2.99% 3.27% และ 4.67% ตามลำดับ
กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติในปี 2567 เป็นการขายสะสมสุทธิ ตราสารหนี้ไทยจำนวน 67,395 ล้านบาท เป็นผลรวมของการขายสุทธิตราสารหนี้ไทย 125,959 ล้านบาทในสองไตรมาสแรกกับไตรมาสที่สี่ และการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 58,561 ล้านบาทในไตรมาสที่สาม ทำให้การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นปี 2567 เท่ากับ 8.7 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5%ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ย 8.7 ปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 8.6 ปีเมื่อสิ้นปี 2566
ทั้งนี้ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ได้กล่าวถึงผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2568 ที่ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง รวม 0.50% เหลือ 1.75% จากปัจจุบันที่ 2.25% โดยจะเริ่มมีการปรับลดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทยในปี 2568 ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะปรับตัวลงเฉลี่ย 5-15 bps. จากปลายปี 2567 จากปัจจัยเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ และกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) เป็นสำคัญ