นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย เผยว่า ในการที่ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งด้านการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการเห็นประโยชน์ของกองทุนที่ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จึงได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ลงทุนที่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุนจึงตั้งใจและพร้อมใจกันที่จะแสดงถึง commitment ของเราเพื่อให้ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาวและมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนให้มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality, Net Zero การใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ในการนี้อุตสาหกรรมจัดการลงทุนพร้อมนำเสนอ 42 กองทุน ThaiESG จาก 16 บลจ.เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในช่วงโค้งสุดท้ายของการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดย ณ ปัจจุบัน (31 ต.ค.67) ทั้งจำนวนกองทุนที่นำเสนอ และยอดรวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเที่ยบกับจำนวน ณ สิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา (AUM รวมจาก 6,400 ลบ.เพิ่มเป็น 11,596 ลบ. / จำนวนกองทุนจาก 22 กองทุน เพิ่มเป็น 42 กองทุน)
อุตสาหกรรมจัดการลงทุนของเรายังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อเนื่องสามปีตามระยะเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐให้มา จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งได้ร่วมกันสนับสนุนการจัด BIG Campaign “โครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยผ่านทางกองทุน ThaiESG - ลงทุนยั่งยืน พร้อมคืนภาษี” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดของ ESG และการลงทุนยั่งยืนให้แก่ประชาชนไทย สร้างการรับรู้และความตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการลงทุนระยะยาว รวมถึงการกระตุ้นให้มีการลงทุนผู้ลงทุนผ่าน Thailand ESG Fund ให้ได้ตามเป้าหมายที่คาดหวัง โดยทีมงานที่ได้จัดตั้งได้จัดทำกลยุทธ์ เร่งการประชาสัมพันธ์ สื่อสารการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเร็วและให้เกิดการลงทุนที่ต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่จำกัดก่อนสินปีภาษีนี้เพื่อให้โครงการประสบผลสำเร็จตั้งแต่ปีแรก นอกจากนั้นยังมีความจำเป็นที่เราต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมการลงทุนโดยทั่วไปของผู้ลงทุนไทยในกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งเกือบทั้งหมดจะลงทุนเฉพาะตอนปลายปี จึงมีแผนการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาโครงการ เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างสมำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนที่ดีตามหลักการ DCA