บลจ.วรรณ เสนอขายกองทุนเปิด เตรียมจับตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ

บลจ.วรรณ จับตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ก่อนเริ่มช่วงดอกเบี้ยขาลง

เสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ต่างประเทศ (ONE-FFI)


บลจ.วรรณ ประเมิน แนวโน้มบาทยังอ่อนค่าจากปัจจัยนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังรอความชัดเจน ขณะที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก.ย.นี้ เปิดโอกาสรับผลตอบแทนได้ถึง 2 ส่วน ทั้งจาก Capital Gain เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปรับตัวลง และ แนวโน้มค่าเงินบาท แนะลงทุนตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯกับ กองทุน ONE-FFI เปิดเสนอขาย 6-11 ก.ย. นี้ 


นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ จำกัด(บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 6 – 11 กันยายน 2567 บลจ.วรรณได้ทำการเปิดเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ต่างประเทศ (ONE-FFI) เน้นลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ อายุเฉลี่ยการลงทุนประมาณ 1 ปี โดยมองว่า ช่วงอายุของพันธบัตรที่เลือกลงทุนจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาว 


อย่างไรก็ดีความน่าสนใจของ กองทุน ONE-FFI คือ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนได้ถึง 2 ส่วน ส่วนแรก โอกาสรับผลตอบแทนจาก Capital Gain เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปรับตัวลง ส่วนที่สอง โอกาสรับผลตอบแทนจากส่วนต่างของค่าเงิน โดยมองว่าในระยะข้างหน้าค่าเงินบาทไทยมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยมองกรอบค่าบาท 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปลายปีนี้  


“หากพิจารณาในแง่ของความเสี่ยงของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯนับว่ามีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ หรือเรียกได้ว่ามีความปลอดภัยสูง อีกทั้ง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมีอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือสูง ที่ AA+ (ฟิทช์ เรทติ้งส์/S&P Global Ratings) ซึ่งสูงกว่าเครดิตของไทยที่ BBB+ บ่งชี้ได้ว่า พันธบัตรจากสหรัฐฯ ได้รับการยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีสภาพคล่องในตลาดสูง”นายพจน์กล่าว


 ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 1 ปี อยู่ที่ 4.40% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ส.ค. 67) เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรไทย โดยมีส่วนต่างประมาณ 2% ซึ่ง ณ ระดับส่วนต่างดังกล่าวถือว่าน่าสนใจ ดังนั้น บลจ.วรรณ จึงมองเป็นโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ โดยปัจจัยบวกที่หนุนความน่าสนใจที่โดดเด่น คือ แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ 


นายพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ค่าเงินบาทในระดับราคาปัจจุบัน ยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศมากนัก โดยยังต้องติดตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายงบประมาณของปีหน้า รวมถึงความชัดเจนของโครงการ Digital Wallet ประกอบกับสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยวันที่ 5 พ.ย. นี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ดังนั้น ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะข้างจากประธานาธิบดีคนใหม่ รวมถึงยังมีปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถสร้างความกังวลให้ตลาดเป็นระยะๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ท้ายสุดแล้วจะกระทบต่อค่าเงินบาทไทยให้มีทิศทางอ่อนค่าลงสวนทางกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น  โดยมองว่าช่วงนี้จึงเป็นโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจ