STTC ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO เข้า mai เสริมศักยภาพธุรกิจ ชูศักยภาพเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์มิเตอร์ไฟฟ้าเพียงรายเดียวที่ได้รับขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย

      นางพรทิพย์ เทพตระการพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ททีทีซี จำกัด (มหาชน) หรือ STTC  เผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำนวัตกรรมมิเตอร์ไฟฟ้าแบบดิจิทัล ทั้งมิเตอร์ไฟฟ้า และมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อวิถีชีวิตและสังคมยุคใหม่ ตอบรับเทรนด์การอนุรักษ์พลังงาน โดยมีประสบการณ์เป็นผู้ผลิต ติดตั้ง วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านมาตรวัดไฟฟ้า หรือมิเตอร์ไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้โครงการมากมายกว่า 25 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านมิเตอร์ไฟฟ้า และได้รับความเชื่อมั่นจากหน่วยงานชั้นนำทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้จำหน่ายไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้กระบวนการผลิต จำหน่าย และบริโภคไฟฟ้าของประเทศไทยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด คำนวณค่าไฟฟ้าอย่างถูกต้องและเป็นธรรม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า  


      เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมในการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการจำหน่ายมิเตอร์ไฟฟ้า และในปี 2566 บริษัทฯ ได้ชนะการประกวดราคาในโครงการจัดซื้อมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อทดแทนมิเตอร์แบบจานหมุนทั่วประเทศของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยบริษัทฯ รับผิดชอบการจำหน่ายมิเตอร์และติดตั้งเพื่อส่งมอบงานแก่ กฟภ. ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการในปี 2566 เป็นปีแรก และคาดว่าจะเปิดประกวดราคาเป็นรายปีต่อเนื่องจนแล้วเสร็จภายในปี 2573 เพื่อดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 


        ขณะที่ผลิตภัณฑ์มิเตอร์ไฟฟ้าของบริษัทฯ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.มิเตอร์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์” มีคุณสมบัติในการแสดงผลค่าพลังงานแบบดิจิทัลบนหน้าจอแอลซีดี จุดเด่นคือระบบป้องกันการละเมิดการใช้ไฟฟ้า และมีความแม่นยำในการอ่านค่า ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการอ่านค่าจากระยะไกลด้วยสัญญาณบลูทูธผ่านอุปกรณ์อ่านค่า นอกจากนี้ยังสามารถเก็บบันทึกข้อมูลพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า เช่น ข้อมูลแรงดันไฟฟ้า ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา และข้อมูลอัตราการบริโภคไฟฟ้าสูงสุดแต่ละช่วงเวลา และ 2.มิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ” ที่บริษัทฯ วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559) และแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทย (พ.ศ. 2558 – 2579) มีจุดเด่นคือสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น ควบคู่กับการนำระบบสัญญาณสื่อสารมาพัฒนาให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลระยะไกลแบบเรียลไทม์ เช่น ข้อมูลการใช้ไฟฟ้า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดต่อวัน ข้อมูลช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้าสูงสุด แจ้งเตือนไฟฟ้าตก เป็นต้น ทำให้ผู้จำหน่ายไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปจดหน่วยการใช้ไฟฟ้า โดยมีโรงงานอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นสายพานการผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติเพื่อผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์แบบ 1 เฟส 800,000 เครื่องต่อปี


        จากความมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนามิเตอร์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง มิเตอร์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และมิเตอร์อัจฉริยะทุกรุ่นของบริษัทฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพียงรายเดียว เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2566  ด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม เป็นระยะเวลา 3 ปี จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและได้รับอนุญาตจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งจะมีผลให้ได้รับการสนับสนุนตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ภาครัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน และพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 สำหรับพัสดุส่งเสริมนวัตกรรม  ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ โดยได้รับการสนับสนุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการจัดซื้อสินค้าดังกล่าว


          นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เผยว่า  บริษัท สมาร์ททีทีซี จำกัด (มหาชน) หรือ STTC  ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งปัจจุบัน STTC มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท โดยมีทุนที่ชำระแล้ว 150 ล้านบาท และจะเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และรองรับการขยายกิจการของบริษัทฯ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ