ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยว่า อัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทำให้เกิดการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน 11%อาจจะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้คนเดินเข้าไปดูบ้านมากขึ้นและจองมากขึ้น แต่สุดท้ายเมื่อซื้อแล้วก็โอนไม่ผ่าน ไม่เกิดการจอง สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญสะท้อนไปถึงความมั่นใจในการหารายได้ จึงไม่ต้องการเพิ่มหนี้ในระยะยาว นั่นจึงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่เมื่อกำลังซื้อหายไปในตลาด ก็ลดการขยายโครงการ
ลดดอกเบี้ย ลดการติดลบในตลาดอสังหาฯ อัตราดอกเบี้ย ในปัจจุบันมีอัตราสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างต่ำ บางสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อัตราดอกเบี้ย ต่ำมากกว่า 50% ของMRR เฉลี่ยที่อยู่อาศัย 3 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 3.5% และหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ทุก 0.25% จะเพิ่มมูลค่าสินเชื่อใหม่ได้ 4,400 ล้านบาท เพิ่มหน่วยการโอนได้ 5,000 หน่วย และมีมูลค่าการโอน 35,000 ล้านบาท
ดังนั้น หากมีมาตรการที่ 6 ธนาคารพาณิชย์ในชาติ ลดอัตราดอกเบี้ย 2.5% คาดว่าจะส่งผลทำให้ยอดโอนฯเพิ่มขึ้น 372,877 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ อยู่ที่ 1,078,080 ล้านบาท หรือขยายตัว 2.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 678,151 ล้านบาท หรือติดลบเหลือ 0.03% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ปัจจุบัน ดีมานด์ยังต้องการซื้อบ้าน แต่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ เพราะมีเกณฑ์ต่างๆ เข้มข้น ทำให้กำลังซื้อหดตัว นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ตลาดหดตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จากคนฐานล่างไปสู่ธุรกิจระดับบน จากที่สินเชื่อในกลุ่มคอนโดฯหดตัว ลามไปสู่บ้านเดี่ยว แตกต่างจากวิกฤติในปี 2540 ที่กระทบจากบนลงล่าง เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจะส่งผลไปสู่กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ซื้อเพื่อการลงทุนและเป็นหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วน 20-30% ในตลาดหรือประมาณ 2-3 แสนล้านบาทในตลาด ที่หายไป เพราะมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(LTV) ส่งผลทำให้ผลตอบแทนในการลงทุนลดลง จึงหันไปลงทุนในภาคอื่นแทนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการเกิดขึ้นใหม่ของโครงการเมื่อตลาดลงทุนหายไปจึงมองไปที่การพัฒนาโครงการตอบโจทย์ด้านอื่น
นายอิสระ บุญยัง ประธานกรรมการ สมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจสังหาริมทรัพย์ เผยว่า วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนี้แตกต่างจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 มาก โดยในช่วงปี 2540 ปัญหาจะเริ่มต้นจากส่วนบนของเศรษฐกิจในส่วนของผู้ประกอบการ เจ้าหนี้ล้มลงก่อนลูกหนี้ ดังนั้นจึงมีข้อมูลพื้นฐานของผู้มีปัญหาครบถ้วย และเข้าไปแก้ปัญหาได้ถูกทาง และผู้ที่ผ่านช่วยต้มยำกุ้งมาได้ก็มีภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มอสังหาฯ ธนาคาร สามารถประคองธุรกิจจนผ่านหลายวิกฤติมาได้แทบทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหากดอกเบี้ยสูงจะมีค่าใช้จ่ายในการโอนสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2567 ธนาคารของรัฐได้เข้ามานำร่องลดดอกเบี้ยในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเอสเอ็มอี ได้ผลสูงมาก วงเงินสินเชื่อในแต่ละครั้งก็หมดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มาตรการลดดอกเบี้ยสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วมากกว่าแนวทางอื่น
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่กว่าจะเป็นผลเป็นรูปธรรมต้องใช้เวลานานมาก ผู้ประกอบการอาจรอไม่ได้ แต่การลดดอกเบี้ยสามารถทำได้ทันทีและเห็นผลอย่างรวดเร็ว เช่น การลดดอกเบี้ยและค่าโอนในกลุ่มผู้ซื้อบ้านมือ 2 ส่งผลให้ยอดขายบ้านมือ 2 เพิ่มขึ้นเร็วมากจนมีสัดส่วนกว่า 55% รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้ในระยะยาว