ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย มอง7 ธีมการลงทุน

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง กลยุทธ์ตลาดหุ้นไทยฝ่าสถานการณ์โลก ในงานสัมมนาการลงทุนใหญ่ประจำปี Investment Forum 2024 : เจาะขุมทรัพย์ลงทุน…ยุคโลกเดือด โดยแบ่งเป็นประเด็นต่างๆดังนี้


แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2567


แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีแรงหนุนจาก การท่องเที่ยว, ตัวเลขการส่งออกสินค้า ซึ่งในเดือนที่ผ่านมาเติบโต 7.2 % YOY, เฮลธ์แคร์, ภาคบริการ, การใช้จ่ายภาครัฐที่จะดีขึ้น, อัตราการเร่งตัวของเงินเฟ้อประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ เป็นต้น

ที่ผ่านมา SET Index สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่ในตอนนี้ P/E ของแต่ละอุตสาหกรรมตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย P/E ทุกอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นว่า ราคาหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจ เป็นช่วงที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกับผลกำไรในอนาคต

7 ตีมการลงทุนที่โดดเด่น

  1. การท่องเที่ยว (Hospital and Tourism) : ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และควรเสริมจุดแข็งนั้นด้วยการนำ Digital Economy มาใช้ร่วมกัน โดยอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์คือ กลุ่มท่องเที่ยว, เกษตร, การแพทย์, ขนส่งและโลจิสติกส์ และอาหาร เป็นต้น
  2. อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการใช้งบของภาครัฐ (Government stimulus) : คาดกว่าจะมีผลต่อเศษฐกิจเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูง โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบดี คือ บริการรับเหมาก่อสร้าง, สินค้าอุปโภคบริโภค, พาณิชย์, อาหารและเครื่องดื่ม และต้องคอยติดตามกันต่อว่าทางภาครัฐจะนําเงินออกมาใช้เมื่อไหร่และในรูปแบบไหน
  3. การย้ายฐานการผลิต (Relocation Opportunities) : ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย โดยใช้จุดเด่นเรื่องเศรษฐกิจที่เปิดรับกับผู้เข้ามาลงทุน เป็นมิตรกับทุกฝ่าย และเรื่อง Clean Energy จุดแข็งเหล่านี้น่าจะดึงดูดให้ประเทศต่างๆสนใจ และเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมที่อาจได้รับประโยชน์จาการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรม, Data center & Techology Services, วิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้าง, สาธารณูปโภค, ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  4. Global Play : บริษัทจดทะเบียนไทยไปลงทุนต่างประเทศเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจสนามบินอย่าง AOT ที่เคยเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นอันดับ 1 ของโลก ตอนนี้เป็นอันดับที่ 2 และยังมีบริษัทอื่นๆอีกมากมายที่เป็นอันดับต้นๆ เช่น อาหาร, โรงพยาบาล และโรงแรม เป็นต้น รายได้จากต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมสูงถึง 5.81 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นไทยที่จริงแล้วมันคือ Global Play แบบหนึ่ง
  5. ธุรกิจเกี่ยวกับความยั่งยื่น (Sustainability) : บลจ.ไทยในปัจจุบันเติบโตอย่างเข้มแข็งและเป็นผู้นําด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และได้รับการยกย่องว่าเป็น Gold Class ถึง 14 บริษัท ถือว่าสูงที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าช่วงนี้ตลาดอาจจะยังไม่ฟื้นตัวนัก แต่กำลังฟื้นตัวเป็นรูป K-shape มีบางบริษัทที่ฟื้นตัวแล้ว
  6. หุ้นจ่ายเงินปันผลสูง (Dividend play) : ดัชนี SETHD ในตลาดมีหุ้นถึง 30 หลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูง จ่ายเงินปันผลอย่างสมํ่าเสมอ และมีการเติบโตของกิจการ จะเห็นได้ว่าพอร์ตของ SETHD ทำกำไรได้มากกว่าตลาด
  7. การเปลี่ยนผ่านสู่ New economy : ประเทศไทยถ้าอยากเติบโตต่อไปในอนาคตจะพึ่งเพียง Traditional economy ได้ไม่มากนัก จะเป็นการโต 10-20% ไปเรื่อยๆ ถ้าอยากจะโต 100-200% ต้องมีระบบเศรษฐกิจใหม่ เช่น Digital & Ecommerce, การแพทย์ในอนาคต, เชื้อเพลิงชีวภาพ และ EV car เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทไทยถึง 165 แห่ง ที่อยู่ใน New economy ซึ่งเป็น ธุรกิจหลัก 73 บริษัท และธุรกิจอื่นๆ 92 บริษัท ทำให้เห็นว่าเรามีโอกาสลงทุนธุรกิจใหม่ๆในประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน


ความเสี่ยง

ดร.ภากร ฝากไว้เป็นประเด็นสุดท้ายคือความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเจอ ทั้งจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาครัฐ อัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน การทยอยฟื้นตัวทางเศษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ และการจัดการผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน