ก.ล.ต. 1 เมษายน 67 เริ่มใช้หลักเกณฑ์ปรับปรุงใหม่
1 มกราคม ปี 68 เริ่มใช้คุณสมบัติกรอง IPO เข้มงวดขึ้น
.
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ทางคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองบริษัทเข้าจดทะเบียนและการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอมา พร้อมย้ำการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในทุกกรณี
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากการประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ และเป็นส่วนหนึ่งใน “มาตรการป้องกัน” ของ ก.ล.ต. ดังนี้
(1) ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่กำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัท ที่จะเข้าจดทะเบียน โดยจะมีการปรับเกณฑ์พิจารณาฐานะการเงินและผลประกอบการ รวมทั้งความมั่นคงของบริษัทในมิติต่าง ๆ
(2) ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อทำให้กระบวนการพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทที่จะจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) และการย้ายกลับมาซื้อขาย (Resume Trade) มีความเข้มข้นเทียบเท่ากับการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)
(3) ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อยกระดับการแจ้งเตือนผู้ลงทุน และการเพิกถอนบริษัทที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และ
(4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นและผู้ถือหน่วยสำหรับบริษัทจดทะเบียน ทรัสต์ และกองทุนต่าง ๆ
ทั้งนี้ กรณี (1) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 กรณี (2) และ (3) ส่วนใหญ่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เมษายน 2567 และกรณี (4) คาดว่าจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567*
จากการยกระดับความเข้มงวดในครั้งนี้ คาดว่ามีบริษัทจดทะเบียนที่ไม่เข้าเกณฑ์ผู้สอบบัญชีไม่ครบ 3 ท่านประมาณ 19 บริษัท รวมไปถึงไม่เข้าเกณฑ์การกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ประมาณ 20 บริษัท
ทั้งนี้การขึ้นเครื่องหมายจะมีการเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากการเตือนไม่เป็นผลและเลยกำหนดระยะเวลาที่ให้แก้ไขปรับปรุงก็จะไปถึงขั้นตอนของการเพิกถอน
แต่ในขณะเดียวกัน หากมีการปรับปรุงตามเงื่อนไขข้อกำหนดของเครื่องหมาย รวมไปถึงมีการตรวจสอบแล้วก็จะมีการปลดเครื่องหมายลงนั่นเอง
.
โดยการดำเนินงานได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านแนวทางการดำเนินการและกิจกรรมต่าง ๆ ตาม 3 มาตรการหลัก ได้แก่ ป้องกัน ป้องปราม และปราบปราม มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในหลายเรื่องมีความคืบหน้าไปมาก
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบังคับใช้กฎหมาย ก.ล.ต. ยังได้ปรับโครงสร้างองค์กรโดยเพิ่มผู้ช่วยเลขาธิการ สายงานบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มเติมอีกหนึ่งตำแหน่ง และปัจจุบันได้แต่งตั้งพันตำรวจโท สุทธิศักดิ์ จิตพิมลมาศ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
อีกทั้ง ทาง ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการทบทวนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น ปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ (MT) และการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (RPT) เพื่อกำหนดหน้าที่ให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนให้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดให้ต้องยื่นงบการเงินย้อนหลัง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานการจัดทำรายงานทางการเงิน Publicly Accountable Entities (PAE) เริ่มบังคับใช้แล้ว สำหรับบริษัทที่จะขอยื่นเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2567
รวมทั้งการยกระดับการทำหน้าที่ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในบริษัทจดทะเบียน (Line of defense) เช่น กรรมการ กรรมการตรวจสอบ กรรมการอิสระ ผู้บริหารและเลขานุการ รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeeper) เช่น ผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษาทางการเงิน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งเดินหน้าส่งเสริมความรู้และความคุ้มครองให้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ “มาตรการป้องปราม” ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาระบบเพื่อแจ้งเตือนความผิดปกติหรือความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการกำกับดูแลให้มีความรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบได้
#กลต #SEC #สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์