IAA สำรวจโบรกแนะซื้อหุ้น 4ตัว AOT CPN CPALL GPSC
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 โดยแบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 2 บริษัท และ บริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท
โดยมี 5 ชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน ดังนี้
1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังเตรียมปรับค่าบริการเพิ่มเติม อยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอการรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน
2. CPALL โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย
3. CPN โดยมองว่า ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG
4. GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง อาจจะมีการพิจารณาในการเพิ่มทุน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่ากรอบราคาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1476 นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยจุดสูงสุดใน ช่วง ม.ค. - ธ.ค. 67 มองว่าอยู่ที่ระดับ 1,612 จุด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,340 จุด และระดับเป้าหมายในช่วงสิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1,590 จุด
ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32%
นอกจากนี้ มุมมองในด้านของราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยของปีนี้ 80.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล รวมไปถึงการคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 3.56% (ต.ค.66) ลดลงมาเหลือ 3.33%
Risk Free Rate (ค่าดอกเบี้ยชนิดไร้ความเสี่ยง) ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.92% ถือว่าค่อนข้างสูง และ Risk Premium (ตัวชดเชยความเสี่ยง) ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.68% ตีความได้ว่าทางนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่คุ้มกับความไม่แน่นอนจากการลงทุนในหุ้น
ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ถึง 62.50% ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเดิม คือ 2.50% รองลงมามี 20.83% ของผู้ตอบ มองว่าจะลงไปที่ 2.25% และมีผู้ตอบ 12.50% มองว่าลงไปที่ 2.00% อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบ 4.17% มองสวนทางว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.75%
ด้านการกระจายพอร์ตการลงทุน นักวิเคราะห์แนะนำให้แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น (8.96%), กองทุนตราสารหนี้ (25.63%), หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ (23.67%), หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย (22.79%), กองทุนอสังหาฯหรือ REIT (9.17%), ทองคำหรือกองทุนทองคำ (8.75%), สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน (1.03%)
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก อาหาร เงินทุน/หลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รายที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน
นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ
อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายแจกเงินนั้นอยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบายช้อปช่วยชาติ และตามมาด้วย เสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG
#IAASurvey #สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน #AOT #CPALL CPN #GPSC