SCB EIC วิเคราะห์ SET ฟื้นตัวเด่นเมื่อวานนี้ ขณะที่วันนี้คาดมีอัตราเร่งลดลง และมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1400 จุด ต้องขึ้นทะลุผ่านให้ได้ก่อน เพื่อพลิกสัญญาณเทคนิคให้เป็นบวก มิฉะนั้นในภาพรวมยังเป็นลบ และเป็นเพียงการดีดสลับเพื่อปรับลงต่อด้านแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1370 และ 1360 จุด ตามลำดับ หากต่ำกว่าจะเป็นสัญญาณลบ
ด้านกลยุทย์ในการลงทุน SCB EIC มองว่าช่วงสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากมุมมอง Fed ที่ Dovish มากขึ้น (ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด และ Dot Plot บ่งชี้ดอกเบี้ยจะลดลง 75 bps มากกว่ารอบก่อนที่ 50 bps ขณะที่ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโต 1.4% ในปี 2567) ซึ่งจะส่งผลบวกมายังตลาดหุ้นไทย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 โดยหุ้นเด็ดวันนี้เลือก BCP และ AP โดย
1) BCP ได้ ESG Rating “AAA” คาดกำไรจากการดำเนินงาน 4Q66 เพิ่มขึ้น QoQ หลังรวมผลการดำเนินงานของ BSRC เข้ามาเต็มไตรมาสและปริมาณน้ำมันดิบนำเข้ากลั่นสูงขึ้น หลังหยุดซ่อมบำรุงตามแผนใน 3Q66 อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพงด้วย PBV 0.7 เท่า ต่ำกว่า -1SD ในรอบ 10 ปี
2) AP ได้ ESG Rating “AA” คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 6.2% YoY เป็น 6.24 พันลบ. ทำจุดสูงสุดใหม่ คาดกำไร 4Q66 เพิ่มขึ้น YoY และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ จากการโอน backlog โครงการ Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์และ The Address สยาม-ราชเทวี อีกทั้งคาดหวัง Div. Yield ปีนี้ได้ที่ 6%
ขณะที่ SET อยู่ในบรรยากาศที่เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว และมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในเดือน ธ.ค. นี้เป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ (II) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP OR CPALL BEM GULF CRC HMPRO ขณะที่หุ้น ESG Rating “A” ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ AOT
2) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT KTB
3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำเริ่มลงทุนแบบ Dollar-Cost-Average (DCA) เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมากและราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องช่วงสั้นแนะนำให้ระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่ม อสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำให้ระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
#สรุปภาวะการลงทุน #SET #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวการลงทุน #ข่าวหุ้น #สรุปสภาวะตลาด #SCBEIC