บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส ชี้ BOND YIELD ที่ปรับลดลงต่อเนื่องทั้งในสหรัฐและบ้านเรา
ขณะที่ FED WATCH TOOL ล่าสุด 99.9% คาด
FED คงดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือน ธ.ค. และ ในปี 2567
คาดปรับลดดอกเบี้ยกว่า 1% ภาพดังกล่าวสะทั้อนวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง
ส่วนในบ้านเราเชื่อว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงในปี 2567 เช่นกัน
ส่วนความกังวลว่ามาตรการลดค่าครองชีพหลายตัวตามนโยบายรัฐ
จะหมดอาจยุช่วงสิ้นปี 2566 และ ต้นปี 2567 อาจเป็นแรงหนุนให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
ทาง บล.เอเชียพลัสจึงได้ลองทำภาพจำลองโดยกำหนดให้ CPI ปรับขึ้นไปเหมือนกับช่วงที่ไม่มีมาตรการหนุน
และราคาน้ำมันสูงกว่าปัจจุบัน พบว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในช่วง 0.33 –
1.14% ซึ่งจะไม่ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดไว้เปลี่ยนแปลงภาพ ดังกล่าวถือว่าดีต่อตลาดหุ้นในระยะกลาง
- ยาว ส่วนระยะสั้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง
และปัจจัยแวดล้อทางพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาก คาด SET INDEX อยู่ในกรอบแคบ ช่วงที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายช่วง
คาดมูลค่าการซื้อขายเบาบาง ซึ่งน่าจะทำ ให้SET INDEX วันนี้ผันผวนอยู่ในกรอบแคบ
ประเมินกรอบ 1375 – 1390 จุด สำหรับ หุ้นเด็ดวันนี้ได้แก่ BEM,
CRC และ SIRI
ประเด็นภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวจากแรงกระตุ้นที่ค่อย ๆ หมดลง
ช่วยหนุนให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เริ่มจากสหรัฐฯ
ที่เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้อีก หลังภาคแรงงานสหรัฐที่ ค่อยๆ
ส่งสัญญาณอ่อนแอลง โดยล่าสุดมีรายงานตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ในสหรัฐ เดือน ต.ค.
อยู่ที่ 8.7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีสะท้อนความต้องกา จ้างงานที่ลดลง ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้ FED มีโอกาสจบรอบ ดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว สะท้อนจาก BOND YIELD สหรัฐฯ 10 ปี ร่วงลงเร็วใกล้หลุด 4% ขณะที่ FED WATCH TOOL คาดดอกเบี้ยปีหน้า ลด 1.25%
เหลือ 4.25%
ขณะที่จีนยังเผชิญกับปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์
จึงกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ชะลอตัวและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งล่าสุด MOODY’S
ปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ของรัฐบาลจีนจากมีเสถียรภาพ (STABLE)
ลดลงสู่เชิงลบ (NEGATIVE) เนื่องจากการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงในระยะกลาง
และกังวลในการสนับสนุนด้านการเงิน ให้กับรัฐบาลท้องถิ่นและบริษัทของรัฐที่มีปัญหาด้านหนี้สินรวมถึงมีความเสี่ยง
ทางด้านการคลังหลังรัฐบาลจีนเพิ่มงบประมาณขาดดุลเป็น 3.8% ของ
GDP ซึ่งมาก สุดในรอบ 30 ปีซึ่งปัจจัยเหล่านี้
เชื่อว่าจะยังช่วยหนุนให้ PBOC ใช้นโยบายการเงินแบบ ผ่อนคลายต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีนให้ฟื้นตัว
ในส่วนของไทย เงินเฟ้อยังแนวโน้มเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ไม่มีมาตรการลดค่าครองชีพที่จะสิ้นสุดในช่วงต้นปี
2567 ภายใต้สมมติฐานดัชนีเงินเฟ้อไทยอยู่ที่ 108.4
จุด เทียบเท่ากับเดือน ส.ค. 66 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีมาตรการลดค่าครองชีพ
ทำให้เงิน เฟ้อในปีหน้าสูงสุดจะอยู่ที่ราว 1.1%YOY ในเดือน
พ.ค. ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้ กนง. ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน
ขณะที่มูลค่าซื้อขายต่อวันที่หายไป ทำให้ SET
INDEX ปรับตัวขึ้นได้ยากตั้งแต่ต้นปี แต่ นับจากนี้มีความคาดหวังทั้งในมุมของเศรษฐกิจ
กำไร บล. และVALUATION SET ที่ น่าสนใจ
ทำให้มีโอกาสสูงที่มูลค่าซื้อขายต่อวันจะกลับมาสู่ระดับ 5-6 หมื่นล้านบาทอีก
ครั้ง โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ระดับ 1375-1390
จุด
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กองทุน THAI ESG FUND น่าจะเป็นพระเอกช่วยผลักดัน
SET INDEX ในช่วงที่เหลือของปี โดยวันจันทร์ที่ผ่านมา กลต.
ออกเกณฑ์รองรับและได้รับคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุนรวม ไทยเพื่อความยั่งยืน (THAILAND
ESG FUND) จำนวน 22 กองทุน จาก บลจ. 16
แห่ง และสมาชิกประสงค์จะเสนอขายพร้อมกันในวันที่ 8 ธ.ค. 66 ประเด็นดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า
จะมีเม็ดเงินใหม่เริ่มเข้ามา 1 –2 หมื่นล้านบาท หนุนตลาดฯ
ให้ OUTPERFORM ในช่วงวันที่ 8 ธ.ค. 66
และเม็ดเงินจะเข้ามาชัดๆ ใน สัปดาห์หน้าจนถึงสิ้นปี
#สรุปภาวะการลงทุน #SET #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวการลงทุน #ข่าวหุ้น #สรุปสภาวะตลาด