จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันของ NEO เป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มต้นธุรกิจสินค้าอุปโภคตั้งแต่ปี 2532 โดยยึดมั่นหลักการดำเนินธุรกิจที่เข้าใจความต้องการ และความชื่นชอบในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค NEO ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรก คือ โคโลญแบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) และขึ้นเป็นอันดับ 1 ของสินค้าวัยรุ่นหญิงทันที และปัจจุบัน NEO มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 8 แบรนด์ ได้แก่ ไฟน์ไลน์ (Fineline) ดีนี่ (D-nee) บีไนซ์ (BeNice) เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) ทรอส (TROS) วีไวต์ (Vivite) สมาร์ท (Smart) โทมิ (Tomi) ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภคในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
ในปี 2550 NEO ได้เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ เริ่มต้นที่ ลาว และกัมพูชา และภายหลังได้ขยายพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศเพิ่มเติม จนครอบคลุมทุกประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) NEO เป็นผู้ผลิตสินค้าด้วยตัวเอง ประกอบด้วย โรงงานผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน โรงงานผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และโรงงานผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ พร้อมคลังสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติและศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center)
สินค้าทั้ง 8 แบรนด์ของ NEO
บริษัทฯ เป็นผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน สินค้าอุปโภคของบริษัทครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ 1) แบรนด์
ไฟน์ไลน์ (Fineline) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ 2) แบรนด์สมาร์ท (Smart) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย และ 3) แบรนด์โทมิ (Tomi) เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่
1) แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
2) แบรนด์ทรอส (TROS) เช่น ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออน 3) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์
(Eversense) เช่น ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และ 4) แบรนด์วีไวต์ (Vivite) เช่น ผลิตภัณฑ์โรลออน
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ล้างภาชนะ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิว กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้อื่นๆสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ดีนี่ (D-nee)
จุดเด่นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ NEO มีความโดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ
แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของเรามีความแข็งแกร่งและเป็นที่นิยมคุณภาพระดับสากล จึงสามารถขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มตลาด ครอบคลุมทั้งกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ กลุ่มพรีเมียมแมส และในกลุ่มพรีเมียม ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
บริษัทของเรามีความสัมพันธ์อันดีกับช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และร้านค้าแบบดั้งเดิม NEO ให้ความสำคัญกับคู่ค้า พร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน มีการดำเนินทุกกิจกรรมในองค์กรอย่างเป็นระบบ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดและการแข่งขันได้ดี โรงงานผลิตสินค้าและคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปที่ทันสมัย ช่วยให้บริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้มีทีมผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน
สัดส่วนรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ NEO ในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 - งวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 สัดส่วนรายได้จากการขายรวมของบริษัท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) สัดส่วนรายได้ร้อยละ 40 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) สัดส่วนรายได้ร้อยละ 25 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) สัดส่วนรายได้ร้อยละ 35
โอกาสทางธุรกิจของบริษัททั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีศักยภาพเติบโตอย่างไรบ้าง
ไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยปัจจัยสนับสนุนอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคเติบโต ดังนี้
1) จำนวนประชากรและจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคเพิ่มสูงขึ้น
2) วิถีชีวิตใหม่ด้านสุขอนามัยของผู้บริโภค หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น
3) การดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
4) บทบาทของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นในสังคมปัจจุบัน ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มอุปสงค์สำหรับสินค้าอุปโภค
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของกลุ่มประเทศ CLMV ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และมีการขยายตัวไปสู่ภาคอุตสาหกรรม จำนวนประชากรในกลุ่มประเทศ CLMV เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนประชากรทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 183.6 ล้านคน ภายในปี 2570 มีการเปลี่ยนแปลงจากประเทศที่มีพื้นที่ชนบทไปสู่ชุมชนในเขตเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การเติบโตของรายได้ของประชากรจะช่วยขับเคลื่อนของความต้องการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคที่มีคุณภาพและหลากหลายมากขึ้น
แผนธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร
NEO วางกลยุทธ์ครอบคลุม 3 มิติ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้
1. กลยุทธ์การตลาดเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทุกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ โดยสื่อสารทางการตลาดและจัดกิจกรรมการตลาดครบวงจร และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพและโอกาสทางการตลาด
2. กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง (Supply Chain Optimization) ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ โดยมีการดำเนินการดังนี้
• การพัฒนาการบริหารจัดการความต่อเนื่องของวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ
• การพัฒนากระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
• การบริหารจัดการการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป
3. การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ได้กำหนดเป้าหมายและกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กร (Sustainability Direction & Framework) เพื่อเสริมสร้างทัศนคติความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
#NEO #StockReview #BusinessLineandLife #บทสัมภาษณ์พิเศษ