ในยุคที่การลงทุนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ตราสารทุน ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนไทยยังคงนิยม และให้ความเชื่อมั่นในพันธบัตรและหุ้นกู้อยู่อย่างเหนียวแน่น ด้วยจุประสงค์การลงทุนที่มุ่งเน้นการรักษาเงินต้น ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลรวมทั้งหุ้นกู้บริษัทเอกชน มีมูลค่าคงค้างเพิ่มสูงขึ้นทุกปี คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 24% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าคงค้างในปัจจุบันสูงถึง 33.3 ล้านล้านบาท แม้จะมีวิกฤติโควิด ภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก แต่ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
นอกจากการเข้าลงทุนในพันธบัตร และหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายในตลาดแรกแล้ว ผู้ลงทุนยังนิยมหันมาเลือกลงทุน ซื้อ-ขายกันในตลาดรองมากขึ้น โดยมูลค่าการซื้อ-ขายพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ของบุคคลทั่วไปพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อ-ขายในตลาดรองยังนับว่าน้อยมาก อันเนื่องมาจากวัตถุประสงค์หลักผู้ลงทุนทั่วไปเป็นแบบ Buy-and-Hold หรือการซื้อและถือจนครบกำหนดอายุ ไม่ค่อยมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันในตลาดรอง เหตุนี้เองจึงทำให้ตลาดรองของตราสารหนี้ไทยมีสภาพคล่องต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักลงทุนที่เป็นบุคคล กลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเราหากต้องการจะขายพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่เราลงทุนไว้ก่อนครบกำหนดอายุ นอกจากสภาพคล่องที่ต่ำแล้ว การซื้อ-ขายพันธบัตรหรือหุ้นกู้ผ่านตลาดรองในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นช่องทางในการซื้อ-ขาย ราคาที่ยังไม่ค่อยโปร่งใส ไปจนถึงกระบวนการซื้อ-ขายที่ยุ่งยาก และใช้เวลานาน และผู้ลงทุนหลายคงยังสงสัยว่าพันธบัตร หรือหุ้นกู้ตลาดรองคืออะไร แต่จะทำการลงทุนในตลาดรองได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ยังสงสัยว่าการซื้อ-ขายพันธบัตร หรือหุ้นกู้ผ่านตลาดรองคืออะไร เรามีคำตอบง่าย ๆ ดังนี้ เมื่อมีการออกขายพันธบัตร หรือหุ้นกู้ครั้งแรก (หรือตลาดแรก) โดยผู้ออกแล้ว หากถือลงทุนไปจนครบอายุ เราจะได้รับดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามหน้าตั๋ว (Coupon) รวมทั้งเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามราคาพาร์ สำหรับตลาดรองตราสารหนี้นั้นก็คือ การซื้อ-ขายพันธบัตร หรือหุ้นกู้ที่ยังไม่ถึงวันครบกำหนดอายุนั่นเอง โดยราคาที่ซื้อ-ขายนั้นอาจจะสูงกว่า (Premium) หรือต่ำกว่า (Discount) ราคาพาร์ อันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ ในตลาด เช่น อัตราดอกเบี้ยในตลาดขณะนั้น ตัวอย่างเช่น หากเราถือพันธบัตรอยู่ และตัดสินใจขายก่อนครบกำหนดอายุในขณะที่ราคาขายสูงกว่าราคาพาร์ เราจะมีกำไรจากส่วนต่างราคา เมื่อนำกำไรมารวมกับดอกเบี้ยที่เราได้รับขณะที่ยังถือครองอยู่ จะสามารถคำนวณเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) ได้ ดังนั้น หากเราจะพิจารณาเข้าซื้อพันธบัตรผ่านตลาดรอง ควรดูผลตอบแทนที่แท้จริงที่จะได้รับ (Yield) ซึ่งคำนวณจากส่วนต่างราคา และดอกเบี้ยตามหน้าตั๋วที่จะได้รับในช่วงอายุคงเหลือ
ธนาคารกรุงไทยเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาตลาดรองของตราสารหนี้ ให้นักลงทุนทั่วไปได้เข้าถึงการลงทุนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม จึงได้ริเริ่มพัฒนา “วอลเลต สบม.” และ “วอลเลตหุ้นกู้” บนแอพพลิเคชั่นเป๋าตังขึ้นเมื่อปลายปี 2563 เพื่อเสนอขาย “พันธบัตรออมทรัพย์ และหุ้นกู้บริษัทเอกชน รุ่นดิจิทัล” ภายใต้เทคโนโลยีบล็อกเชน และจุดเด่นที่สำคัญอยู่ที่การสร้างตลาดรองมารองรับพันธบัตรหรือหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวทันทีตั้งแต่วันแรก โดยปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายผ่านตลาดรองสูงถึง 16,163 ล้านบาท ผ่านการซื้อ-ขายกับธนาคารกรุงไทยผ่าน “วอลเลต สบม.” และ “วอลเลตหุ้นกู้” ที่ทำรายการได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน และเป็นระบบชำระราคาทันที (Real-time Settlement)
เพื่อให้ตลาดรองของตราสารหนี้ไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ธนาคารกรุงไทยจึงต่อยอดเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เปิดตัว บริการตลาดรองพันธบัตรรัฐบาล บนแอพพลิเคชั่น KrungthaiNEXT ผ่านบริการ Money Connect เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าไปเลือกซื้อ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหลากหลายรุ่นที่มีอายุคงหลือตั้งแต่ 30 วัน จนถึงมากกว่า 10 ปี ถือเป็นทางเลือกการบริหารสภาพคล่อง และการลงทุนที่ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 1 ปี ให้ผลตอบแทนสูงถึง 2.30% ต่อปี รวมไปสามารถเลือกลงทุนซื้อ-ขายหุ้นกู้เอกชนที่เสนอขายบุคคลทั่วไปได้เช่นกัน และที่สำคัญการซื้อ-ขายทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งเป็นการชำระราคาทันที หรือ Real-time Settlement นั่นคือเมื่อกดซื้อ ระบบจะตัดเงินจากบัญชีผู้ซื้อ พร้อมกับผู้ซื้อเป็นเจ้าของพันธบัตรในทันที และสำหรับนักลงทุนที่ทำการขาย ทันทีที่ทำการกดขายพันธบัตร เงินจะโอนเข้าบัญชีผู้ขายทันทีเช่นกัน สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ และที่สำคัญปลอดภัยสำหรับผู้ลงทุน ซึ่งบริการตลาดรองตราสารหนี้บนแอพพลิเคชั่น Krungthai NEXT นั้นมีแสดงไว้ให้ทั้ง ราคา และอัตราผลตอบแทน (Yield) และยังสามารถดูตารางการจ่ายดอกเบี้ยตามรอบชำระดอกเบี้ยได้อีกด้วย (แสดงตารางการจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดเฉพาะรุ่นที่ธนาคารเปิดทำการซื้อขายตลาดรอง) ทำให้การซื้อ-ขาย ง่าย และสะดวกเพียงปลายนิ้ว ทั้งนี้ การซื้อพันธบัตร หุ้นกู้ผ่านแอพพลิเคชั่น Krungthai NEXT จะเป็นระบบ Scripless โดยธนาคารกรุงไทยจะเป็นผู้ดูแลหลักทรัพย์ให้กับผู้ลงทุน และหากต้องการออกใบหลักทรัพย์ ก็ยังสามารถติดต่อสาขาของธนาคารเพื่อดำเนินการขอออกใบหลักทรัพย์ได้เช่นกัน
การใช้งาน
เริ่มต้นง่าย ๆ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำรายการซื้อ ท่านสามารถ Log in เข้า Krungthai NEXT เลือกฟังก์ชั่นบริการ และเลือกเมนู Money Connect จากนั้นเข้าเมนู ตลาดรอง เลือก ซื้อ-ขายตลาดรอง เพื่อเลือกดูรายการหลักทรัพย์ที่มีจำหน่าย และกดซื้อเพื่อเข้าลงทุนได้ หลักทรัพย์ที่ท่านซื้อจะถูกฝากไว้ที่ธนาคารกรุงไทยแบบไร้ใบ หรือ Scripless โดยท่านสามารถเข้าเมนู ตลาดรอง เลือก หลักทรัพย์ของฉัน เพื่อตรวจสอบยอดถือครองได้ตลอดเวลา สำหรับนักลงทุนที่ต้องการขาย ท่านสามารถเริ่มต้นโดยนำใบหลักทรัพย์ในมือไปที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เพื่อฝากเข้าบัญชีหลักทรัพย์ธนาคารกรุงไทย เมื่อหลักทรัพย์ของท่านเข้าสู่ระบบเรียบร้อยแล้ว ท่านจะเห็นหลักทรัพย์ที่นำฝากบนระบบจากเมนู ตลาดรอง เลือก หลักทรัพย์ของฉัน จากนั้นสามารถทำรายการขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน และรับเงินเข้าบัญชีทันที สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือโทร Krungthai Call Center 02 111 1111