บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เผยไตรมาสที่ 3/2566 ทำกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จถึงกลยุทธ์ 3 Steps Plus โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้น ผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ช่วยขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจเคมีภัณฑ์ทั่วโลกที่ยังไม่แน่นอน
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “ปี พ.ศ. 2566 ถือความท้าทายสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา GC มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและสามารถรายงาน Adjusted EBITDA ที่ 12,307 ล้านบาท ที่ผ่านมา GC มีการคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตลอด 3-4 ปี และจากการยึดหลักกลยุทธ์ 3 Steps Plus ได้แก่
• Step Change การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
• Step Out การแสวงหาโอกาสการเติบโตในธุรกิจใหม่ หรือในต่างประเทศ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา GC ประกาศการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน มุ่งสู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon ว่า ผลิตภัณฑ์ของเราต้องมีคุณค่าต่อ ส่วน Low Carbon หมายถึงการ พัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ของเราต้องคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด
• Step Up การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ.2593 ซึ่งบริษัทฯ มีการดำเนินงานที่ชัดเจนผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่
o Efficiency-Driven ยกระดับความสามารถในการแข่งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการผลิต ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด 146 โครงการ ซึ่งสามารถ ช่วยลดการใช้พลังงานลงทั้งหมด 1,794,045 จิกะจูลต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 133,722 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
o Portfolio-Driven การบริหารพอร์ตโฟลิโอธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ GC Group ผ่านนวัตกรรมและการลงทุน มุ่งสู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon ใน Performance Chemical ด้วยการลงทุนใน allnex สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 600-780 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และ Circularity and Recycle ด้วยการลงทุนในบริษัท ENVICCO ผลิตเม็ดพลาสติก รีไซเคิลระดับ Food Grade ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล
o Compensation-Driven เป็นการผลักดันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยการลงทุนในเทคโนโลยี Carbon Capture Utilization & Storage หรือ CCUS ผ่านแนวทางต่างๆ ได้แก่ Corporate Venture Capitals การสร้างพันธมิตรและการร่วมทุนทาง โดยการปลูกป่าเพื่อลดคาร์บอน ทั้งป่าบนบกและป่าชายเลน
GC ยังพร้อมมุ่งสู่อนาคตด้วยการทำ Organization & Digital Transformation เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความพร้อมในการเติบโต ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนต่างๆ อาทิ ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 12.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้เราสามารถพลิกสถานการณ์และฝ่าด่านความท้าทายของเศรษฐกิจโลกได้”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,614 ล้านบาท โดยรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท (0.32 บาท/หุ้น) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
นอกจากนี้ ธุรกิจโมโนเอทิลีนไกลคอลยังกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในช่วงครึ่งปีแรก อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้เริ่มการดำเนินการ เชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารต้นทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ความสำเร็จของ GC ไม่เพียงตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อโลก แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของคณะผู้บริหารและบุคลากรทุกคนที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตให้กับองค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดย GC มุ่งสู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของ GC ในการเป็น Net Zero Company ในปีพ.ศ.2593” ดร.คงกระพัน กล่าวสรุป
#GC #ดีขึ้นเพื่อคุณดีขึ้นเพื่อโลก #เคมีที่เข้าถึงความสุข
#ChemistryforBetterLiving #GenSStandingForSustainability