TRINITY แนะเก็บหุ้นปันผลรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าปีหน้า

TRINITY แนะเก็บหุ้นปันผลรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าปีหน้า มองปี 2567 หุ้นไทยชนะหุ้นโลกถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1560 - 1650 จุด ต่างชาติจะหวนซื้อสุทธิหลังขายหนักกว่า 1.7 แสนล้าน

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เผยว่า ทิศทางการลงทุนโค้งสุดท้ายของปีว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนสูงมากในช่วงสั้น Fund Flow ยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาคโดยมีสินทรัพย์เสี่ยงตอบสนองต่อข่าวทุกอย่างเป็นข่าวร้ายซึ่งในเชิงของ Asset Allocation ในช่วงสั้น 1-2 เดือน แนะนำลงทุนให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเทอมฟันด์ และหาจังหวะลงทุนในหุ้นไทยที่มีปันผลสูงเนื่องจากราคาหุ้นได้ลดลงมากแล้วทำให้หุ้นที่มีปันผลสูงจะได้รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าเมื่อเหตุการณ์ตะวันออกกลางคลี่คลาย ในเชิงของหุ้นที่จะ outperform จะมีลักษณะ low Beta, เงินปันผลในอนาคตสูงและค่า P/E ต่ำ

ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นผ่านการขึ้นดอกเบี้ยหลายๆครั้งของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี สภาพคล่องภายในที่ลดลงอย่างมาก ความไม่มีเสถียรภาพของปัจจัย ทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยกว่า 1.7 แสนล้านบาท เกือบ 84% ของเม็ดเงินที่ไหลเข้าในปี 2565 แต่ซื้อพันธบัตรเบาบางแค่ 2 หมื่นล้านบาท

.สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในปี 2567 มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่เป็นบวกจาก Valuation ใน Forward P/Book Value ที่ถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี การเติบโตของ GDP ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเติบโตลดลง ดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มถึงจุดอิ่มตัว และจะปรับตัวลดลงในกลางปี 2567 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นที่เติบโตกว่า 15% ในปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบติดลบ 5% ในปี 2566       หุ้นไทยจะ outperform หุ้นโลก เนื่องจาก 1.การเติบโต GDP ของไทยจะดีกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นโลก 2.Valuation หุ้นไทยยังคงไม่แพงในแง่ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี และในเชิง Earning Yields Gap   โดยคาดการณ์ดัชนี SET index เป้าหมายในปี 2567 ที่ระดับ 1650 โดยอาศัยสมมติฐาน EPS 2025 ที่ 113 บาท และ Bond Yields 10 ปีที่ 3.3% แต่ถ้าเป็น Forward PE ที่ 13.4x และดอกเบี้ย RP ที่ 2.25% จะได้ดัชนีเป้าหมายที่ 1560 ปีหน้านักลงทุนต่างชาติจะขายตลาดหุ้นไทยน้อยลงเนื่องจากปี2566นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ในตลาดหุ้นไทยกว่า 1.6-1.7 แสนล้านบาท หลังจากเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาทในปี 2565 ถือได้ว่านักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาทในรอบ 13 ปี ตั้งแต่การใช้ QE เป็นต้นมา 

.นอกจากนี้ ในปี 2567 นักลงทุนจะเป็นฝ่ายซื้อตราสารทุนสุทธิ แต่จะขายตราสารหนี้สุทธิ โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือพันธบัตรไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท หรือ 11.6% และน้ำหนักของพันธบัตรประเทศไทยใน JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) อยู่ที่ 10% แต่ในช่วงระยะเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่ 28 มิถุนายน 2024 น้ำหนักของพันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี อาจจะทำให้ Fund Flow ออกจากพันธบัตรไทย 1.7 แสนล้านบาท เพื่อถูกแทนที่โดยน้ำหนักการลงทุนของพันธบัตรประเทศอินเดีย

สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว มองดอกเบี้ย Fed Fund ว่า จะเริ่มจะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในไตรมาส 3 ปีหน้า เมื่อ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในทางบวก ในเอเชียรวมทั้งในประเทศไทยมองเงินเฟ้อปี 2567 เริ่มกลับสู่ระดับ 2% ใกล้เคียงกับระดับการเกิด COVID และเริ่มกลับสู่ระดับที่สบายใจของธนาคารกลางทั่วเอเชีย ซึ่งเป็นภาวะที่เปลี่ยนจากเงินเฟ้อสู่ระดับ Low - flation  ในส่วนของ Bond Yields พันธบัตรของสหรัฐฯ มองว่าจะเข้าสู่ระดับ Peak ในไตรมาส 4 เช่นเดียวกัน Fed Fund ของสหรัฐฯ จะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2566 ส่วนราคาน้ำมันที่ระดับราคา US$ 100/Barrel จะนำไปสู่ Demand Destruction หรือภาวะน้ำมันแพงนำไปสู่การใช้น้ำมันที่ลดลง ส่วนค่าเงิน US$ อยู่ใน Zone ราคาแพงหรือมูลค่าเกินความเป็นจริง แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ


#TRINITY #StockReview #BusinessLineandLife #ทรีนีตี้ #ข่าวหุ้น #ข่าวเศรษฐกิจ #ภาวะตลาดหุ้นไทย