สศค. จัดงานสัมมนา Fis and Fin Forum 2023 เปิดเวทีรับฟัง - แลกเปลี่ยน นโยบายเศรษฐกิจการเงินการคลัง -ภาคเอกชนแห่ร่วมงานกว่า 400 คน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยผลการสัมมนาวิชาการ Fis and Fin Forum 2023 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2566 ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ มีผู้ร่วมงานมากกว่า 400 คน โดยกล่าวว่า การจัดสัมมนานี้มีขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการนำเสนอแนวคิดเชิงนโยบายของข้าราชการ สศค. พร้อมทั้งรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาปรับใช้กับการดำเนินโยบายเศรษฐกิจการเงินการคลังของไทย
สศค. ได้รับเกียรติจากนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาและเปิดงาน โดยได้กล่าวถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ท่ามกลางความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลจึงดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และเสริมทักษะความรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงินของครัวเรือนไทย โดยหนึ่งในแผนงานที่สำคัญ คือ แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 – 2570 (แผนปฏิบัติการฯ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับประชาชน ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลังที่สำคัญด้านการสร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ดี
การดำเนินงานด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินยังมีข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะด้านทรัพยากร ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการการดำเนินงานจากหลายภาคส่วน และต้องมีการกำหนดกลุ่มและพื้นที่เป้าหมายที่แม่นยำ แผนปฏิบัติการฯ จึงจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังขอขอบคุณ สศค. ที่ได้จัดงานสัมมนานี้ขึ้น รวมถึงการจัดทำผลงานวิชาการที่อาศัยการพัฒนาข้อมูลเชิงพื้นที่และการจัดทำนโยบายแบบเฉพาะเจาะจงตามความเหมาะสม หรือ Data Driven Policy เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในการส่งเสริมสุขภาวะทางการเงิน (Financial Well-being) ของประชาชนและครัวเรือนไทยต่อไป
สำหรับในช่วงเช้าของการสัมมนา เป็นการนำเสนอผลงานวิชาการของข้าราชการ สศค. ในหัวข้อ “แผนที่การเงินครัวเรือนไทย: เข็มทิศการพัฒนาทักษะทางการเงิน” นำเสนอโดยนางสาวเบญญาภา สุขีนุ เศรษฐกรชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งเศรษฐกรชำนาญการพิเศษ นายกวิน เอี่ยมตระกูล เศรษฐกรชำนาญการ นายสัณหณัฐ เศรษฐศักดาศิริ เศรษฐกรชำนาญการ และนายอิทธิพัฒน์ ประภาประเสริฐ เศรษฐกรปฏิบัติการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
สศค. ได้นำเสนอเครื่องมือการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงพื้นที่เพื่อสนับสนุนนโยบายและการดำเนินการของภาคการเงิน ตามแผนปฏิบัติการฯ โดยสามารถแบ่งได้ 2 ส่วน คือ 1) การสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงิน อาทิ การศึกษาระดับทักษะทางการเงินเชิงพื้นที่ และการจัดทำดัชนีปัจจัยพื้นฐานทางการเงินเชิงพื้นที่ (Spatial Financial Fundamental Index: SFFI) เพื่อสะท้อนระดับการบริหารจัดการทางการเงิน การออมและการลงทุน และการเข้าถึงบริการทางการเงินในมิติต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ร่วมกับการระบุตำแหน่งกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างเร่งด่วน (กลุ่มเป้าหมายฯ) เปรียบเสมือนการสร้างแผนที่ทางการเงินของครัวเรือนไทย ซึ่งพบว่า กลุ่มเป้าหมายฯ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีระดับทักษะทางการเงินและความพร้อมของปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่ค่อนข้างต่ำ และ 2) การนำเสนอแบบจำลองสมการถดถอยเชิงพื้นที่ (Spatial Regression Analysis) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระดับสุขภาวะทางการเงินผ่าน“ดัชนีรวมสุขภาวะทางการเงิน” ทั้งนี้ เมื่อเชื่อมโยงผลการศึกษาทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของพื้นที่ต่าง ๆ ได้ กล่าวคือ พื้นที่เป้าหมายเร่งด่วน (First Priority) เป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มเป้าหมายในสัดส่วนที่สูงและมีระดับสุขภาวะทางการเงินที่ต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และชายแดนภาคใต้ เช่น ศรีสะเกษ (18 อำเภอ) อุบลราชธานี (15 อำเภอ) สุรินทร์ (14 อำเภอ) ชัยภูมิ (11 อำเภอ) นราธิวาส (10 อำเภอ) และแม่ฮ่องสอน (4 อำเภอ) เป็นต้น ทำให้สามารถระบุได้ทั้งพื้นที่ที่ควรให้ความช่วยเหลือ และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่ควรได้รับการพัฒนา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นเข็มทิศเพื่อการพัฒนาทักษะทางการเงินให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สศค. มุ่งหวังว่า การนำเสนอผลงานวิชาการนี้จะช่วยพัฒนาแนวทางในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแผนงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินได้อย่างเหมาะสมและตรงตามวัตถุประสงค์ และอาจรวมถึงนโยบายด้านการเงินอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนไทยมีระดับทักษะทางการเงินที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่ Financial Well-being หรือผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะช่วยสร้างความมั่นคงและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืนต่อไป
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผย ผลการสัมมนา Fis and Fin Forum 2023 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2566 ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ ว่า ในงานสัมมนาภาคบ่ายเป็นการเสวนาในหัวข้อ “ถอดรหัสแผนที่การเงินครัวเรือนไทย สร้าง Financial Well-being” ซึ่ง สศค. ได้รับเกียรติจาก 1) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 2) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3) รศ. ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 4) นายวิทัย รัตนากร ประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และ 5) นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมการเสวนา โดยมีนายวารินทร์ สัจเดว เป็นผู้ดำเนินรายการ สามารถสรุปได้ ดังนี้
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า สศค. ได้พัฒนางานศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับ Micro Fiscal Policy เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายของภาครัฐภายใต้งบประมาณที่มีอย่างจำกัด ซึ่งจะสนับสนุนการออกแบบนโยบายแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนได้อย่างเหมาะสม โดยหากพิจารณาจากหลักการทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ว่าจะส่งผลให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นเท่าใด หรือที่เรียกว่า Marginal Propensity to Consume (MPC) พบว่า การสนับสนุนงบประมาณให้แก่กลุ่มเปราะบางจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ และดัชนี Spatial Financial Fundamental Index (SFFI) เป็นข้อมูลบ่งชี้ถึงระดับปัจจัยพื้นฐานทางการเงินเชิงพื้นที่ของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ออกนโยบายสามารถจำแนกกลุ่มประชากรที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนที่แตกต่างกันตามพื้นที่ได้ ทั้งนี้ การเพิ่มทักษะทางการเงินเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาวะทางการเงินที่ดีสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนให้ประชาชนมีการออมเงินเพิ่มมากขึ้น โดยควรมีแนวคิดว่าจะบริหารจัดการทางการเงินอย่างไรให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างพอเพียง หรือ “อิ่ม” หลังจากนั้นยังมีเงินเหลือเก็บหรือ “ออม” เพื่อที่จะมีเงินเพียงพอให้ “อุ่น” ใจในยามเกษียณอายุ หรือเรียกว่าแนวทาง “อิ่ม ออม อุ่น”
นายดนุชา พิชยนันท์ กล่าวว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีการจัดทำระบบ Thai People Map and Analytics Platform (TPMAP) ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลความยากจนของครัวเรือนไทยเชิงพื้นที่สอดคล้องกับการจัดทำดัชนี SFFI ของ สศค. อย่างไรก็ดี เพื่อแก้ปัญหาในภาคการเงินของประชาชนจากการเป็นหนี้เร็วและนาน อาจอาศัยการปรับทัศนคติในการใช้จ่ายของประชาชน และสนับสนุนให้เกิดการออมเพิ่มมากขึ้น โดยประชาชนควรได้รับการดูแลภายใต้โครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net)อย่างน้อย 1 โครงข่าย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ โดยจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน
รศ. ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล ให้ความเห็นว่าดัชนี SFFI ของ สศค. ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบได้แก่ การบริหารจัดการทางการเงิน การออมและการลงทุน และการเข้าถึงบริการทางการเงิน เมื่อพิจารณาจากผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบด้านการออมและการลงทุน มีปัญหาความแตกต่างเชิงพื้นที่มากที่สุด ในขณะที่การเข้าถึงบริการทางการเงินมีความแตกต่างเชิงพื้นที่ไม่มากนักโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น การดำเนินนโยบายจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องของการส่งเสริมการออมและการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย ทั้งนี้ ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า หาก สศค. สามารถบูรณาการชุดข้อมูลที่มีอยู่กับข้อมูลสุขภาวะของประชาชนในด้านอื่นๆ เช่น ด้านสาธารณสุข เป็นต้น ก็จะทำให้สามารถชี้วัดระดับสุขภาวะเชิงพื้นที่ของประชาชนที่มีมิติหลากหลายครบถ้วนยิ่งขึ้น
นายวิทัย รัตนากร กล่าวว่า งานศึกษาของ สศค. เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้ทราบว่าการทำงานเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ควรจะไปที่ไหน กลุ่มเป้าหมายคือใคร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ควรให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยองค์รวมที่ต้องมีหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมมือกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือเชิงพื้นที่มีความครอบคลุมทุกมิติโดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ปัจจัยด้านการเงินเพียงอย่างเดียว
นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ (Megatrends) ที่ทุกคนต้องเผชิญในอนาคตที่จะมาถึงเป็นสิ่งที่ควรจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เป็นต้น ดังนั้น งานศึกษาของ สศค. จะมีส่วนช่วยในการช่วยให้ประชาชนสามารถที่จะเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงข้างต้น โดยได้กล่าวเสริมว่า ฐานข้อมูลของ สศค. เป็นฐานข้อมูลที่ดี หากนำมารวมกับฐานข้อมูลของหน่วยงานอื่นๆ เช่น สศช. เป็นต้น ก็จะสามารถตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุป ผู้ร่วมงานเสวนาต่างเห็นว่าการร่วมกันสร้างและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่จะช่วยให้ภาครัฐสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายทั้งในเชิงพื้นที่ บุคคล และมิติอื่นๆ ได้ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำและประหยัดทรัพยากร ผลการศึกษาเรื่อง “แผนที่การเงินครัวเรือนไทย: เข็มทิศการพัฒนาทักษะทางการเงิน” ที่ สศค. ได้นำเสนอในภาคเช้าของงานสัมมนา Fis and Fin Forum 2023 จะเป็นส่วนสำคัญที่สามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดให้การดำเนินนโยบายของภาครัฐมีความเฉพาะเจาะจง (Tailor-Made Policy) มากขึ้นได้ในอนาคต