SINO รุกสร้างการเติบโต รับจังหวะเข้าสู่ไฮซีซั่นและค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น
เดินหน้าแผนผลักดันไทยเป็นฮับส่งออกจากกลุ่มประเทศอาเซียนไปยังตลาดสหรัฐฯ
ดันวอลุ่มขนส่งสินค้าพุ่งเป็น 55,000 ตู้ภายในปี 2567
‘บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO รุกสร้างการเติบโต รับจังหวะค่าระวางเรือครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น เดินหน้าขยายตลาดในอาเซียนเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเล ประเดิมให้บริการขนส่งสินค้าจากกัมพูชาไปยังอินเดียและมาเลเซีย ก่อนขยายไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ดันไทยเป็นฮับส่งออกสินค้าจากกลุ่มประเทศในอาเซียนไปยังตลาดสหรัฐฯ มั่นใจปีนี้วอลุ่มการส่งออกโดยรวมเพิ่มเป็น 42,000 ตู้ตามแผน ก่อนขยับเพิ่มเป็น 55,000 ตู้ในปีถัดไป
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้ารุกสร้างการเติบโตต่อเนื่อง หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รองรับโอกาสค่าระวางเรือในช่วงครึ่งปีหลังทยอยปรับตัวดีขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งมีดีมานด์ส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับผู้ประกอบการสายเดินเรือมีการบริหารจัดการเรือและค่าระวางเรือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดย SINO จะเร่งขยายการให้บริการขนส่งสินค้าจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เริ่มดำเนินการเช่าเรือ Barge ขนาดบรรทุก 120 ตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อรับสินค้าจากท่าเรือ Okhna Mong Port (OMP) ประเทศกัมพูชามายังประเทศไทย และส่งออกไปยังประเทศอินเดีย โดยเริ่มให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้วจำนวน 1 เที่ยวต่อสัปดาห์ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจะขยายเส้นทางไปยังประเทศมาเลเซียเพิ่มเติมภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนในเฟสถัดไปจะส่งออกสินค้าไปยังเส้นทางประเทศสหรัฐอเมริกาตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการขนส่งสินค้าทางทะเล ให้แก่ประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดยใช้ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันของ SINO ที่มี OTI License (Ocean Transport Intermediary) จาก Federal Maritime Commission (FMC) และได้วางหลักประกัน FMC Bond ทำให้สามารถทำสัญญาการบริการกับสายเดินเรือในการขนส่งสินค้าไปประเทศแถบโซนอเมริกาเหนือได้ด้วยตนเอง และการมีเครือข่ายและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ทำให้สามารถนำเสนอบริการขนส่งสินค้าที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและตรงต่อเวลา
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ที่จังหวัดระยอง เพื่อรองรับการให้บริการตู้ ISO Tank หรือตู้บรรจุของเหลวของบริษัทฯ ที่มีกว่า 500 ตู้ โดยจะเริ่มดำเนินการภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 ซึ่งจะส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและการทำกำไรขั้นต้นให้ดียิ่งขึ้น
“เราเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตจากการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจร และต่อยอดการให้บริการโดยใช้ความชำนาญในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าจากกลุ่มประเทศต่างๆ ในอาเซียนไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณการขนส่งสินค้าของเราให้เติบโตตามเป้าหมายที่ 42,000 ตู้ในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 55,000 ตู้ในปีถัดไป” นายนันท์มนัส กล่าว