บมจ.ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ หรือ ETL’เตรียมยกระดับเข้าเทรดใน SET
หนุนสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมเปิดผลประกอบการไตรมาส 2/66 เติบโตโดดเด่น
มองอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโตต่อเนื่อง
‘บมจ.ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ หรือ ETL’ ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน เตรียมยกระดับเข้าเทรดใน SET หนุนสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/66 เติบโตโดดเด่น มีรายได้จากการให้บริการ 341.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11.12% จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้า ดันผลงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการให้บริการ 646.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 31.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 32.69% จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้า รวมถึงคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกของปี 2566
นางสาวกฤชวรรณ ซื้อเจริญชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ ETL ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สัญชาติไทยที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่มีธุรกิจหลัก คือ การให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross-Border Transport Carrier) อย่างครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติที่จะเปลี่ยนแปลงการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นการเข้าจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยได้ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ เป็น 310,000,000 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท) อย่างไรก็ตาม จำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ ETL นั้น จะยังคงคิดเป็นสัดส่วนที่ไม่เกินกว่าร้อยละ 30.00 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ ETL ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO
ทังนี้ ปัจจุบัน ETL มีทุนจดทะเบียนจำนวน 310,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 620,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 224,067,280 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 448,134,560 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 171,865,440 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.72 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต โดยมีบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
กรรมการผู้จัดการบริษัท ETL กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันอุตสาหกรรมขนส่งโลจิสติกส์มีความเจริญก้าวหน้าและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า มีทางเลือกการขนส่งหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับเงื่อนไขในการขนส่ง เช่น ประเภทสินค้า ระยะเวลาในการขนส่ง และเส้นทางในการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีการขนส่งจะมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่ง การเลือกการขนส่งที่เหมาะสมกับเงื่อนไขในการขนส่ง จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและการควบคุมต้นทุนในการส่งออกและนำเข้าสินค้าได้ และหนึ่งในตัวเลือกที่ผู้ประกอบการให้ความนิยม คือ การขนส่งทางถนน (Road transportation) ซึ่งเป็นการขนส่งด้วยรถบรรทุกสินค้าข้ามพรมแดน โดยจะมีความยืดหยุ่นความคล่องตัว และคุ้มค่า ด้วยระยะเวลาในการขนส่งที่สามารถคาดการณ์ได้และระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และในปัจจุบันรัฐบาลของหลายประเทศได้มีการสร้างเครือข่ายถนนเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคและประเทศต่างๆ อย่างทั่วถึงในหลากหลายเส้นทาง สามารถให้บริการขนส่งแบบ Door to door ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นการส่งเสริมทำให้อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนของประเทศในเขตพื้นที่ SEAs และประเทศจีน มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นในการพัฒนาขั้นตอนการให้บริการที่มีความยืดหยุ่น และสามารถตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดย ETL มีแผนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ รวมถึงขยายเส้นทางการให้บริการ นอกเหนือจากนี้ ETL ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าการให้บริการ เช่น การติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ และระบบป้องกันสินค้าสูญหาย เป็นต้น รวมถึง ETL มีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและพร้อมให้บริการลูกค้าในรูปแบบต่างๆ ส่งผลให้ ETL ถือเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสัญชาติไทยที่เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 646.18 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ที่มีรายได้จากการให้บริการ 689.73 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์ในการบริหารและจัดการเที่ยวรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปรับตัวดีขึ้นจาก 13.96% ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 เป็น 14.70% ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 และการลดลงของค่าใช้จ่ายส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 เท่ากับ 31.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 24.02 ล้านบาท