บางจากทุ่มเงินกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อหุ้น ESSO ที่ราคาเฉลี่ย 9.8986 บาทต่อหุ้น โดยได้ชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับเอสโซ่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทำให้บางจากมีสถานะเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ดีลครั้งนี้จะสามารถคืนทุนให้กับบางจากได้ภายในระยะเวลา 4-5 ปี แถมจะสร้าง Synergy ให้เกิดขึ้น 2-3 พันล้านบาทต่อปีด้วย
ดีลบางจากซื้อหุ้นเอสโซ่เริ่มเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากมีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าบางจากเตรียมนำเสนอเรื่องนี้เข้าบอร์ดบริหารของบริษัทภายในต้นเดือนมกราคม ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 บอร์ดมีมติอนุมัติพร้อมลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นเอสโซ่ ประเทศไทย จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. จำนวน 2,283,750,000 หุ้น คิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด
ดีลการซื้อกิจการครั้งนี้ บางจากใช้เงินจำนวน 2.26 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อหุ้นเอสโซ่ ราคาเฉลี่ย 9.8986 บาทต่อหุ้น จากมูลค่ากิจการของเอสโซ่ที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 5.5 หมื่นล้านบาท โดยได้ชำระราคาหุ้นสามัญให้กับเอสโซ่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566
ขั้นตอนต่อไปบางจากจะทำตั้งโต๊ะรับซื้อ
(เทรดเดอร์ออฟเฟอร์) หุ้นเอสโซ่จากนักลงทุนรายย่อยอีก 34% ณ ราคาเดียวกัน ซึ่งจะดำเนินการระหว่างวันที่ 8 กันยายน-
12 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ หากนับรวมในส่วนนี้ด้วย เท่ากับว่าบางจากจะใช้เงินราว 3.4-3.5
หมื่นล้านบาท (กรณีรายย่อยขายหุ้นเอสโซ่ 100%) ในการซื้อหุ้นเอสโซ่
สิ่งที่บางจากจะได้หลังจากการเข้าซื้อกิจการของเอสโซ่ในครั้งนี้
มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือ โรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน บางจากจะมีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น
294,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้มีสถานะเป็นโรงกลั่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
832 แห่ง รวมเป็น 2,150 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 2,250 แห่งในปี 67 เครือข่ายคลังน้ำมัน 2 แห่ง ที่ศรีราชาและลำปาง, หุ้นบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) 21% และ หุ้นบมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ
(BAFS) 7.06% และกำไรพิเศษจากมูลค่าที่ดินกว่า 800 ไร่ ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ 5,000-10,000 ล้านบาท
บางจากตั้งเป้ายอดขายน้ำมันจะเติบโตแตะ 5 แสนล้านบาท ภายในปี 67
โดยได้ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าซื้อบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) และคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งคาดว่าจะช่วยเสริมแกร่งธุรกิจในกลุ่มบริษัทบางจาก มีการคาดการณ์ว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะสามารถคืนทุนให้กับบางจากได้ภายในระยะเวลา
4-5 ปี แถมจะสร้าง Synergy ให้เกิดขึ้น 2-3
พันล้านบาทต่อปีด้วย
สำหรับงบลงทุน บริษัทฯ ยังคงงบลงทุนไว้ราว 2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับแผนธุรกิจในช่วง 5 ปี (66-70) โดยส่วนใหญ่ใช้ภายในปี 66 กว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจขุดเจาะและสำรวจแหล่งปิโตรเลียมราว 30%, ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานราว 30%, ใช้รองรับการลงทุนดีล ESSO และโรงกลั่นที่บริษัทมีแผนจะหาเพิ่มอีก 1 แห่ง ราว 30% และอีก 10% ใช้รองรับการขยายธุรกิจบริษัทย่อย ทั้งบมจ.บีซีพีจี (BCPG) และบมจ.บีบีจีไอ (BBGI)