AAI แย้มข่าวดี เริ่มเห็นสัญญาณบวกครึ่งปีหลัง 2566
ประกาศลุยจ่ายปันผลระหว่างกาล มั่นใจปีนี้อัตรากำไรขั้นต้น 12-14%
‘เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ AAI’ ประกาศเริ่มเห็นสัญญาณบวกท่ามกลางความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เชื่อมั่นผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกหลังเจอวิกฤตส่งออกชะลอตัว อีกทั้งค่าแรงและราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ปรับเป้ารายได้ปีนี้ 5,800 ล้านบาท จากอาหารสัตว์เลี้ยง 4,700 ล้านบาท และอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก 1,100 ล้านบาท ขอชะลอลงทุนบางส่วนที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงเพื่อกำเงินสดท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง พร้อมเดินหน้าประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.05 บาท
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ และเจ้าของแบรนด์ “monchou” “Hajiko” และ “Pro” ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัข เปิดเผยว่า รายได้ไตรมาส2/2566 อยู่ที่ 1,196 ล้านบาท ลดลง 34.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,814 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมียอดขายลดลงมากโดยมีปริมาณการขายลดลงถึง 34% เพราะยังได้รับผลกระทบจากการชะลอคำสั่งซื้อจากตลาดหลักทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกมีรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาทูน่ายังอยู่ในระดับสูง
ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 26 ล้านบาท ลดลง 85.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 183 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากที่ยอดขายลดลงอย่างมาก เป็นเหตุให้มีสัดส่วนต้นทุนค่าแรงและต้นทุนทางพลังงานที่สูงขึ้น กดดันอัตรากำไรขั้นต้นจนลดลงมาอยู่ 12.7% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 21.2% นอกจากนี้ ยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาร่วมกดดันให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสลดต่ำลง แม้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.01 บาท/หุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 0.11 บาท/หุ้น
สำหรับครึ่งปีแรก 2566 AAI มีรายได้อยู่ที่2,587 ล้านบาท ลดลง 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 3,464 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 99 ล้านบาท ลดลง 72.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 364 ล้านบาท จากสาเหตุยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงลดลง โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 10.9% ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 19.1% และอัตรากำไรสุทธิปรับลงมาอยู่ที่ 3.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 10.5% โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท/หุ้น จากครึ่งปีแรกปีก่อนอยู่ที่ 0.21 บาท/หุ้น
การที่ปริมาณการขายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 17,612 ตัน ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 22,863 ตัน เนื่องจากกลุ่มอาหารสัตว์ยอดขายลดลงเหตุเพราะ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย สินค้ารอบใหม่มีระยะการส่งสั้นลง ลูกค้าเจ้าของแบรนด์จึงต้องเร่งระบายสต็อกให้มีจำนวนที่เหมาะสม และสถานการณ์ดังกล่าวใช้เวลานานกว่าที่คาด
นายเอกราช กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า รายได้ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก แต่อาจยังมีปัจจัยเรื่องการปรับลดปริมาณการถือครองสินค้าคงเหลือของลูกค้ารายสำคัญเพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลาการสั่งซื้อ (Leadtime) ที่จะกดดันยอดขายในไตรมาส 3 บางส่วน ทำให้คาดการณ์รายได้บริษัทฯ ปีนี้อยู่ที่ 5,800 ล้านบาท หรือลดลง 18% เมื่อเทียบกับปี 2565 แบ่งเป็น รายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 4,700 ล้านบาท เป็นการลดลงจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่รับจ้างผลิตให้กับลูกค้าเจ้าของแบรนด์ในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่มองว่ารายได้อาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ของตัวเอง (เฮ้าส์แบรนด์) ในประเทศไทยจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งกำลังวางแผนเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายตามแผนงานในอนาคตที่ต้องการมีสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็น 10% และกำลังปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายแบรนด์ในประเทศจีนหลังการเปิดประเทศของประเทศจีน
ขณะที่คาดว่ารายได้จากกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกจะอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท โดยอัตรากำไรในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้น่าจะมีการปรับลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี และยังมีการแข่งขันที่รุนแรงภายในอุตสาหกรรม
“ช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะสามารถปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับ 12-14% เนื่องจากประเมินว่าจะมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตที่บริษัทเผชิญในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา ทั้งจากการที่ราคาทูน่าปรับตัวสูง และจากการที่สัดส่วนค่าพลังานและค่าแรงเมื่อเทียบกับยอดขายค่อนข้างสูง” นายเอกราช กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตตามแผนของ ปี 2566 ที่คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอีก 6,500 ตัน เป็น 56,000 ตัน ในช่วงต้นปี 2567 เพื่อให้มีความพร้อมในการรับจ้างผลิตจากลูกค้ารายใหม่ๆ ตลอดจนรองรับการกลับมาเติบโตของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่บริษัทฯ ได้ชะลอลงทุนสร้างอาคารคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 และอาคารผลิตแห่งใหม่ออกไปก่อน ในขณะที่ไปปรับแผนการใช้พี้นที่การผลิตในโครงการขยายอาคารผลิตที่เสร็จสิ้นไปแล้วให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด เพื่อที่จะสามารถเพิ่มเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังผลิตได้บางส่วน และจะเป็นการเก็บเงินสดไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก จนกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.05 บาท ในวันที่ 8 ก.ย. 2566 โดยกำหนดรายชื่อผู้สิทธิรับเงินปันผลวันที่ 25 ส.ค. 2566