นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลง”
จากระดับปิดสัปดาหก่อนหน้า ที่ระดับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า
รวมถึงคืนวันจันทร์ก่อน (วันหยุดของตลาดการเงินไทย)
เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 35.03-35.34 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์
ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวนและการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ
ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกลับมามองว่า
เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ
หลังตลาดเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ย
ในสัปดาห์นี้
เรามองว่า ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน รวมถึงจับตารายงานการประชุมล่าสุดของเฟด และติดตาม
ความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
<!--[if !supportLists]-->▪
<!--[endif]-->ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า
ยอดค้าปลีก อาจโตกว่า +0.4%m/m หนุนโดย Amazon Prime Day
ที่กระตุ้นยอดขายสินค้าออนไลน์ กอปรกับภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา อาจยังหนุนให้ผู้คนออกมาใช้จ่าย
โดยเฉพาะในส่วนของการใช้จ่ายภาคการบริการ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วน (รวมถึงเรา) มองว่า การบริโภคในสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ตามการชะลอลงของการจ้างงาน, เงินออมส่วนเกิน (Excess Savings) ที่ทยอยหมดลง, ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและการบริโภคสไตล์ “ซื้อก่อน ผ่อนจ่ายทีหลัง” ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้เรายังคงมองว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
ทำให้เฟดอาจไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
ผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC
Meeting Minutes) ซึ่งเราคาดว่า
เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ก็อาจยังสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ
แต่ก็อาจระบุว่า เฟดนั้นเข้าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการขึ้นดอกเบี้ยได้เช่นกัน
<!--[if !supportLists]-->▪
<!--[endif]-->ฝั่งยุโรป – นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของอังกฤษ
เดือนกรกฎาคม อาจชะลอลงสู่ระดับ 6.8% จากระดับ 7.9% ในเดือนก่อนหน้า ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงาน
รวมถึงมาตรการคุมราคาแก๊สและค่าไฟฟ้า แต่ทว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ
6.8% (จาก 6.9%) ทำให้เราประเมินว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อีก 2 ครั้ง ครั้งละ +25bps จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ
5.75% ทั้งนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ
จากรายงานยอดค้าปลีก เดือนกรฎาคม
โดยการใช้จ่ายของครัวเรือนอาจได้รับผลกระทบจากทั้งภาวะเงินเฟ้อสูง
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาวะอากาศที่แปรปรวนล่าสุด ทำให้ยอดค้าปลีกอาจหดตัว -0.5% จากเดือนก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โตกว่า +0.7% ในเดือนก่อน
<!--[if !supportLists]-->▪
<!--[endif]-->ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเดือนกรกฎาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ยังคงประเมินว่า
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังคงซบเซาอยู่ กดดันโดยภาคอสังหาฯ ที่ยังคงชะลอตัวลง
สะท้อนผ่าน ยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed
Assets Investment) ที่ขยายตัว +3.7%y/y, YTD ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ส่วนภาพเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอลงก็ยังคงส่งผลให้
ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial
Production) โต +4.3%y/y ชะลอลงจากเดือนก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังคงได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงการท่องเที่ยวช่วงฤดูร้อนมีความคึกคัก
ส่งผลให้ ยอดค้าปลีกอาจโต +4.2% ดีขึ้นจาก +3.1% ในเดือนก่อน ทั้งนี้ แม้ว่าภาพเศรษฐกิจจีนอาจยังไม่สดใส
แต่ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจยังคงอัตราดอกเบี้ย MLF ไว้ที่ระดับ 2.65% ทว่ามีโอกาสที่ PBOC อาจลดอัตราดอกเบี้ย MLF สู่ระดับ 2.55% ในเดือนกันยายน
ซึ่งอาจเป็นช่วงที่ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น
ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจอาจโตกว่า +2.9% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี
หนุนโดยการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี
การบริโภคในประเทศอาจไม่ได้ขยายตัวดีมากนัก จากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูง
ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ทำให้ แม้ว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น เดือนกรกฎาคม
โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core-Core CPI (ไม่รวมผลของพลังงานและอาหารสด) อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.3% ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็อาจยังไม่มั่นใจต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ
จนกว่าการบริโภคในประเทศจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และ BOJ อาจยังไม่รีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
<!--[if !supportLists]-->▪
<!--[endif]-->ฝั่งไทย – เรามองว่า การจัดตั้งรัฐบาลผสมอาจเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
ทำให้แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มชะลอลงบ้าง อย่างไรก็ดี
ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติจะยังมีความผันผวนอยู่ จนกว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเสร็จสิ้น
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงอยู่
แต่โมเมนตัมการอ่อนค่าเริ่มแผ่วลง โดยหากการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น
เงินบาทก็สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนจากฝั่งตลาดการเงินจีน
ที่อาจกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลง กระทบค่าเงินบาทได้
ในกรณีที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง อนึ่ง เราประเมินแนวต้านแรกของเงินบาทแถวโซน
35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากตลาดยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
หรือตลาดเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด หรือรายงานการประชุมเฟดที่ย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินโลก
ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้
ที่ระดับ 34.75-35.50 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.35 บาท/ดอลลาร์