TIDLOR แกร่งทำกำไร
Q2/66 ทะลุ 927 ลบ.
ชูความสามารถคุม NPL และ Credit
Cost ได้ดี เติบโตตามแผนที่วางไว้
บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เผยผลงานไตรมาส 2/2566 ทำกำไรสุทธิกว่า 927 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อทะเบียนรถขยายตัวและธุรกิจนายหน้าประกันภัยเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามแผนที่วางไว้
สะท้อนถึงจุดแข็งในการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างการเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสามารถในการคุมคุณภาพหนี้
NPL ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำที่
1.54% และยังสามารถคุม Credit Cost ต้นทุนด้านเครดิตได้เป็นอย่างดี
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท
เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (TIDLOR) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส
2/2566 บริษัทฯ ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัยและธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 927 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของพอร์ตสินเชื่อรวมและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสภาวะตลาด ด้านผลการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัยยังคงสามารถสร้างเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
โดยไตรมาส 2/2566 ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยเติบโตเพิ่มขึ้น
28.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
โดยเฉพาะจากช่องทางดิจิทัล ทั้งออนไลน์และแพลตฟอร์มอารีเกเตอร์ และยังคงเป้าการเติบโตเบี้ยประกันภัยวินาศภัยที่
20%-25%
สำหรับผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในไตรมาส
2/2566 มียอดสินเชื่อคงค้างรวม อยู่ที่ 87,245 ล้านบาท
เติบโตเพิ่มขึ้น 23.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
และยังคงเป้าการเติบโตทั้งปีที่ 10-20%
โดยยังคงดำเนินนโยบายพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่เหมาะสมและยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน
พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับด้านบริการให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในปัจจุบัน ขณะที่บัตรติดล้อ (TIDLOR Card) หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจนั้น
ยังคงมีปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของลูกค้าสินเชื่อทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์
รถเก๋ง และรถกระบะ โดยในเดือนมิถุนายน 2566 ได้มีการออกบัตรติดล้อให้ลูกค้าแล้วกว่า
576,000 ใบ
นอกจากนี้ TIDLOR ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินเชื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพภายใต้นโยบายการบริหารความเสี่ยงรอบคอบ
ส่งผลให้ NPL ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.54% ซึ่งยังคงถือเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
พร้อมยังคงเป้า Credit
cost ในปีนี้ที่ลดลงมาอยู่ที่ 3.00-3.35% จากต้นปีที่วางไว้ 3.00-3.50% ขณะที่บริษัทฯ
ยังคงอัตราการสำรองหนี้ไว้ในระดับสูงตามเดิม และยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการพัฒนาประสิทธิภาพและการลงทุนในเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสนับสนุนและต่อยอดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพิงการขยายสาขาเพียงอย่างเดียว
สำหรับท่านนักลงทุนและผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของ TIDLOR ได้ที่เว็บไซต์ www.tidlorinvestor.com