บลจ.ทิสโก้เปิดกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง แนะซื้อกองทุนหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศ
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ เผยว่า ในปี 2566 สถานการณ์การลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน และมีความผันผวนสูง ทั้งปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมโดยภาพรวม อย่างไรก็ตามธุรกิจกองทุนรวม และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของ บลจ.ทิสโก้ยังคงมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการออกกองทุนใหม่ๆ ที่ครอบคลุมหลากหลายนโยบายการลงทุนเพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการนักลงทุนในสภาวะการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการเน้นจับจังหวะในการออกกองประเภททริกเกอร์ฟันด์มากขึ้น
สำหรับกองทุนแนะนำครึ่งปีหลังนั้น ในส่วนของหุ้นไทยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการ ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่น และกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนใน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว ส่วนกองทุนต่างประเทศแนะนำลงทุนในกองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ กองทุนหุ้นปันผล และกองทุนตรา สารหนี้สหรัฐฯ
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัดเผยว่า สำหรับมุมมองการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นโดยมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 จุด แรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ลดลงอยู่ในระดับต่ำ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 3.3% แต่ยังคงต้องจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งราคาหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมจะปรับตัวเพื่อสะท้อน ผลกระทบด้านบวกและลบจากนโยบายที่ออกมา นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จะมี ผลโดยตรงต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย
จากปัจจัยดังกล่าว จึงมองว่าการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้น ตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก และท่องเที่ยวและกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาก แล้วตั้งแต่ต้นปีและราคาได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว เช่น ปิโตรเคมีชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับการลงทุนต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ครั้งในการประชุมวันที่ 13 – 14 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงในระยะสั้นเป็นโอกาสในการทยอยลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หุ้นกลุ่มที่มีอัตราการ เติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth) เพราะราคาหุ้นที่ยังเหมาะสมและมีความเสี่ยงต่อภาวะการชะลอตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่ม อื่นๆ
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจจากความแข็งแกร่งของบริษัทและนวัตกรรมที่ เกี่ยวกับ AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เริ่มมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเริ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีนจากระดับ มูลค่า หุ้น (Valuation) ที่น่าสนใจ
#บลจ.ทิสโก้ #StockReview #ข่าวธุรกิจ #ข่าวการลงทุน #ข่าวหุ้น #ข่าวเศรษฐกิจ