ด้วยอิทธิพลของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน หรือ มลพิษทางอากาศ ทั่วโลกจึงตระหนักถึงเรื่องการรักษาสภาพภูมิอากาศกันมากขึ้น ทำให้รถ EV เป็นเมกะเทรนด์ที่น่าจับตา และดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์เจ้าใหญ่ต่างประกาศว่าจะหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) แบบเต็มตัวในอนาคต และตอนนี้ภาคธุรกิจกำลังรีบนำรถไฟฟ้ามาใช้กันแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Tesla ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% จน อีลอน มัสก์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกภายในวันเดียว
รถยนต์ไฟฟ้า EV คืออะไร ?
รถ EV มีชื่อเรียกแบบเต็มๆ ว่า Electric Vehicle แปลได้อย่างตรงตัวว่ารถไฟฟ้า โดยรถยนต์ประเภทนี้นั้นจะใช้พลังจากไฟฟ้าแทนการใช้มันน้ำ รถยนต์ EV เป็นรถยนต์ระบบรถไฟฟ้าที่มรการทำงานในรูปแบบของการเก็บพลังงานเอาไว้ในแบตเตอรี่และสามารถชาร์จได้เรื่อยๆ เป็นระยะ หรือว่าตามรอบการใช้งาน หลังจากนั้นจะแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อนรถ ซึ่งอย่างที่เรารู้กันดีว่ารถที่เติมเชื้อเพลิงด้วยน้ำมันนั้นจำเป็นต้องขับเคลื่อนโดยการใช้การจุดระเบิดเผาไหม้ ดังนั้นรถยนต์ EV จึงเป็นรถที่เครื่องยนต์เงียบ และไม่มีควันไอเสียที่ปล่อยมลพิษสู๋อากาศนั่นเอง
ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า EV
ปัจจุบัน EV ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น
บางคันใช้ระบบไฟฟ้าสลับกับน้ำมัน บางคันใช้ระบบไฟฟ้าล้วน หรือ
บางคันก็ใช้พลังงานสะอาดในการสร้างพลังงานไฟฟ้าให้ตัวรถ
ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของ EV ออกมาได้ทั้งหมดดังนี้
1. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานผสมผสานระหว่าง
เชื้อเพลิงทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าจากการแบตเตอรี่ รถยนต์ประเภทนี้จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่าแบบใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากเมื่อมีการเหยียบเบรกรถ บางส่วนของพลังงานจะถูกจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่
และพลังงานที่เก็บไว้สามารถใช้ในภายหลังเพื่อการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมกับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้
2. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV) PHEV จะค่อนข้างคล้ายกับ
HEV ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการสลับใช้พลังงานระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า แต่จะมีความแตกต่างตรงที่
PHEV ถูกพัฒนาให้สามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลขึ้น
มันจึงมาพร้อมกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า ความพิเศษของมันอีกอย่างหนึ่งคือ
สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้จากภายนอก หรือ Plug-in ทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้นและยังสามารถชาร์จไฟเพิ่มได้ตามต้องการ
3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) มันคือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ
100% จึงต้องมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
และสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลต่อการชาร์จต่อหนึ่งครั้ง ) จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในจึงไม่ทำให้เกิดสารก่อมลพิษในขณะขับเคลื่อนหรือที่เรียกว่า
Zero Emission แต่มีข้อเสียอยู่ที่มีระยะทางการวิ่งจำกัด
โดยระยะทางในการขับขี่จะขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ในการใช้งาน และเส้นทางวิ่ง
4. รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) โดยระบบการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ จะเป็นการส่งโฮโดนเจนเหลวและอากาศที่มีออกซิเจนอยู่ เข้าสู่แผงเซลล์เชื้อเพลิงหรือที่เรียกว่า Fuel Cell Stack เพื่อแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ จากนั้นตัวมอเตอร์จะดึงเอากระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ต่อไป
ข้อดีของรถยนต์
EV
1. ค่าเชื้อเพลิงมีราคาไม่แพง แม้ว่ารถไฟฟ้า EV ที่อยู่ในตลาดปัจจุบันนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร
แต่เมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมัน จะเห็นว่าแนวโน้มราคาของรถไฟฟ้า EV เริ่มจะถูกลงเรื่อยๆ
2. เครื่องยนต์ทำงานเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน
เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนไม่มากเท่ารถที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในการขับเคลื่อน
3. รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ เพราะไม่มีไอเสียจากการเผาผลาญพลังงานอย่างเช่นเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป
ข้อเสียรถยนต์ EV
1. ตัวรถยนต์มีราคาสูง
แม้ว่าจะมีอัตราค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิงที่ต่ำ
แต่กระบวนการผลิตจนถึงการวางจำหน่ายจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาสูง
ทำให้ตัวรถมีราคาสูงตามไปด้วย
2. ระยะทางจำกัด และมีสถานีให้บริการชาร์จไฟน้อย
เนื่องจากรถไฟฟ้า EV จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานจากแบตเตอรี
และแบตเตอรี่ก็ มีข้อจำกัดในการใช้งานในเรื่องของประจุไฟฟ้า
ซึ่งส่งผลต่อระยะทางในการขับขี่ที่ถูกจำกัดลงไปด้วย
3. ระยะเวลาในการชาร์จไฟที่ถี่ และใช้เวลาในการชาร์จนาน ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาเรื่องของแบตเตอรี่ และการชาร์จประจุอยู่ตลอด แต่ปัญหาของรถไฟฟ้า ก็ยังคงเป็นเรื่องของระยะเวลาในการชาร์จอยู่ดี เพราะการชาร์จไฟฟ้าไม่เหมือนการเติมน้ำมันที่เติมเพียง 2-3 นาที ก็ได้น้ำมันเต็มถัง ในขณะที่รถไฟฟ้าต้องใช้เวลาชาร์จนานกว่า 30 นาที หรือในบางรุ่นอาจใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แม้ EV จะมีข้อเด่นที่เหนือกว่ารถทั่วไปมากมาย แต่ยังต้องเจอกับความท้าทายหลายอย่างเหมือนกัน เพราะรถ EV ที่อยู๋ในท้องตลาดส่วนใหญ่ยังเดินทางได้แค่ 80 – 531 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากใครที่ต้องเดินทางไกลกว่าระยะทางดังกล่าวอาจขับ EV ได้ยาก แถมในระหว่างการเดินทางเราอาจจำเป็นต้องแวะสถานีชาร์จไฟที่อยู่ตามท้องถนน ซึ่งปัจจุบันสถานีเหล่านี้ยังมีจำนวนน้อยอยู่ คนขับ EV จึงต้องให้ความสำคัญกับการชาร์จไฟฟ้าให้เต็มจากที่และการคำนวณระยะทางในการเดินทาง