ส่องธุรกิจกำไรดีเวอร์ช่วงเลือกตั้ง

โค้งสุดท้ายแล้วใกล้เข้ามาทุกทีกับการเลือกตั้งที่หลายคนตั้งตาคอยมานานหลายปี ซึ่งแต่ละพรรคก็งัดกลยุทธ์กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนให้ได้มากที่สุด สิ่งที่เห็นได้ชัดในระหว่างนี้ก็คือ “ศึกหาเสียง” จะเห็นได้ว่ามีธุรกิจหลายธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง วันนี้เราได้รวบรวมธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง เช่น ธุรกิจการพิมพ์และการโฆษณา, การค้าส่งค้าปลีก, การจำหน่ายน้ำมัน, การผลิตกระดาษ, ภัตตาคารและร้านอาหาร, การผลิตน้ำมันปิโตรเลียม, การบริการทางด้านธุรกิจ, โรงแรมและที่พัก, การผลิตไฟฟ้า และการผลิตรถยนต์/รถจักรยานยนต์ เป็นต้น แต่ในบรรดาธุรกิจทั้งหลายที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง เอาเข้าจริงๆ ที่ได้แบบจริงๆ จังๆกับเรื่องนี้น่าจะมีอยู่ประมาณ 5 ธุรกิจคือ

1.   รถแห่หาเสียง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด รถแห่หาเสียงถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถือเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงชุมชนได้ง่าย จากการสำรวจพบว่าในบางพื้นที่มีการจองโฆษณาแล้ว 200-300 คัน สนนราคาคันละ 1,200-1,500 บาทต่อคันต่อวัน        ซึ่งนอกจากรถแห่หาเสียงแบบทั่วไป บรรดารถ 2 แถวเล็กทั้งหลายก็เตรียมแปลงจากรถโดยสารมาเป็นรถหาเสียงด้วยเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงนี้หากไปตามต่างจังหวัดจะได้ยินรถแห่กระจายเสียงเป็นระยะๆ หรือแม้แต่ในกรุงเทพตามตรอกซอกซอยก็จะเห็นรถแห่หาเสียงเหล่านี้ได้เช่นกัน ส่วนราคาก็แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่

2.   ธุรกิจป้ายโฆษณา สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้สมัครคงหนีไม่พ้นเรื่องของป้ายโฆษณาเป็นการนำเสนอพรรคของตัวเองให้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ธุรกิจป้ายโฆษณาจะมีเม็ดเงินสะพัดสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วประมาณ 25-30% ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงกว่า 30,000 ล้านบาท แม้ว่าการหาเสียงส่วนใหญ่จะหันไปใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น จนทำให้ยอดสั่งผลิตสิ่งพิมพ์ เช่น โบรชัวร์, ใบปลิว จะลดลง

3.   สื่อออนไลน์ ปัจจุบันสื่อออนไลน์ถือได้ว่ามีบทบาทอย่างมากกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป กที่รัฐบาลได้กำหนดใช้ช่องทางหาเสียงได้เพียง 3 ช่องทาง คือ หนังสือพิมพ์ ออนไลน์ และสื่อป้ายโฆษณา เป็นหลักในหมวดหมู่ของสื่อออนไลน์เองจะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบประมาณ 300-500 ล้านบาท จะเป็นการเติบโตในภาพรวมของสื่อออนไลน์ประมาณ 20% ซึ่งจากตัวเลขพบว่ามีคนไทยถึง 80% ที่เข้าถึงช่องทางออนไลน์ได้

4.   สื่อโฆษณาทีวี ถือเป็นช่องทางที่เข้าถึงคนไทยได้มากที่สุดถึงแม้ว่าช่วงหลังคนไทยจะหันมาเสพสื่อออนไลน์กันมากขึ้น แต่ในบางพื้นที่ที่อินเตอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง หรือยังมีคนบางกลุ่มที่ยังคงรับรู้ข่าวสารผ่านทางทีวีอยู่ ซึ่งมีการกระจายไปตามทีวีช่องต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการใช้เม็ดเงินผ่านเอเยนซี่ขนาดใหญ่ ในการซื้อโฆษณาจากเจ้าของสื่อ แม้ภาพรวมการโฆษณาทางทีวีจะไม่ชัดเจนว่า พรรคการเมืองได้รับสิทธิให้ทำอะไรได้บ้าง แต่ก็คาดว่าเป็นอีกธุรกิจที่รับอานิสงส์ในช่วงนี้ไปเต็มๆได้เช่นกัน

5.   ธุรกิจค้าปลีก ภาพรวมของค้าปลีกไม่ว่าจะเป็นการผลิตกระดาษ ภัตตาคาร ร้านอาหาร งานบริการด้านธุรกิจ โรงแรมที่พัก รวมถึงการผลิตรถยนต์รถจักรยานยนต์ก็จะมีเม็ดเงินหมุนเข้าไปในระบบไม่ต่ำกว่าแวดวงละ 1,000-2,000 ล้านบาท และอาจจะมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าการที่แต่ละธุรกิจมีเม็ดเงินหมุนเข้ามาในธุรกิจจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 0.3%

จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณกันไม่ใช่น้อย แม้แต่ในส่วนพรรคการเมืองเองก็ต้องลงทุนไม่น้อย เม็ดเงินที่ต้องหมดไปจากการใช้ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง จะมีใครตอบได้บ้างว่าประชาชนได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมา ประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ประชาชนรอคอย การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย รายได้ของคนไทยดีขึ้น นโยบายต่าง ๆ ที่ใช้ในการหาเสียง จะมีพรรคการเมืองไหนที่เข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของประชนชนได้อย่างแท้จริง ก็ต้องจับตาดูกันหลังวันที่ 14 พฤษภาคม นี้